ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เป็นประธานคณะกรรมการจัดทำหนังสือประกอบนิทรรศการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เนื่องในโอกาสเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา ขึ้น 1 ชุด ชื่อว่า “แสงหนึ่งคือรุ้งงาม”
ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม ได้จัดทำหนังสือเล่มนี้และได้เขียนคำนำในหนังสือเล่มนี้เอาไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2550 ความตอนหนึ่งว่า:
หนังสือ “แสงหนึ่งคือรุ้งงาม” แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือ “แสงหนึ่ง” เป็นพระประวัติอย่างสั้นแต่ได้ใจความ อาศัยภาพเป็นเครื่องอธิบาย อีกส่วน “คือรุ้งงาม” ซึ่งอธิบายว่า แม่เปรียบเสมือนแสงหนึ่ง ที่ส่งสะท้อนเป็นรุ้ง 7 สีที่สวยงาม และแต่ละสีสื่อความหมาย เช่น แม่เป็นคนเรียบง่าย แม่มีพลังสร้างสรรค์ แม่มีความเมตตา และอื่นๆ จนครบ 7 สี และแสงหนึ่งนี้ยังมีความหมายที่ส่องยังบุคคลอันเป็นที่รักและเทิดทูนยิ่งของปวงชนชาวไทย คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษาอีกด้วย
“ลูกหวังว่า หนังสือ “แสงหนึ่งคือรุ้งงาม” จะเป็นประโยชน์ต่อคนที่ได้อ่าน และหากคิดสักนิดก็จะเห็นว่า ใครก็ตามไม่ว่ายากดีมีจน ก็สามารถทำประโยชน์ให้คนอื่นได้เสมอ ไม่มากก็น้อย”
เมื่อใครก็ตามที่ได้อ่านหนังสือชุดดังกล่าวก็จะรู้สึกประทับใจตลอดทั้งเล่ม เป็นการรวบรวมรูปภาพ หลักฐาน และเหตุการณ์ต่างๆ ที่หายาก แม้แต่ปริญญาบัตรที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้จบนั้นเป็นปริญญาบัตรด้านวิทยาศาสตร์สาขาเคมี ซึ่งคนทั่วไปส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้ ก็ยังปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มดังกล่าวด้วย
ผู้ที่ได้อ่านหนังสือชุดนี้ยังจะได้ความประทับใจในความรักและสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันระหว่างสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ กับพระอนุชาทั้งสอง ที่สะท้อนมาเป็นภาพส่วนพระองค์ที่หาชมยากและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เยาว์วัย การดำเนินชีวิตในวังสระปทุม พระปรีชาสามารถที่มีความหลากหลาย ตลอดจนการเลี้ยงดูของสมเด็จพระบรมราชชนนี
หลายภาพและหลายข้อความเมื่อได้เห็นแล้วต้องถึงกับน้ำตาซึมด้วยความปลาบปลื้มประทับใจอย่างที่ยากจะบรรยาย !!!
ทั้งสามพระองค์พี่น้องในราชสกุลมหิดล ต่างสนิทสนมรักใคร่ผูกพันทรงเติบโตท่ามกลางความเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงอบรมดูแลให้ทุกพระองค์ช่วยเหลือตนเอง มีระเบียบวินัย และเอื้อเฟื้อต่อผู้ด้อยโอกาสกว่า จนเป็นพื้นฐานสำคัญในพระอุปนิสัยของทุกพระองค์
“ในครอบครัวเรา ความรับผิดชอบ เป็นของที่ไม่ต้องคิด เป็นธรรมชาติ สิ่งที่สอนกันอันแรกคือ เราจะทำอะไรให้เมืองไทย” คือพระราชดำรัสสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่ทรงตั้งอยู่ในพระปณิธานที่แน่วแน่ ทรงอุทิศพระองค์ด้วยพระกรณียกิจตลอด 84 ปีที่ผ่านมา เพื่อส่วนรวมหลายแขนง ตั้งแต่เสด็จกลับเมืองไทยในปี พ.ศ. 2493 ทรงเริ่มต้นเป็นอาจารย์สอนนิสิตนักศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยอื่นๆ อีกหลายแห่ง
ภาพที่ประชาชนไทยต่างคุ้นเคยและอยู่ในความทรงจำมาจนทุกวันนี้ คือเมื่อครั้งที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนียังทรงเจริญพระชนมชีพ ได้เสด็จไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรตามท้องถิ่นทุรกันดารอยู่เสมอ พร้อมกับทรงนำแพทย์อาสาไปให้การรักษาผู้เจ็บป่วย โดยมีสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ตามเสด็จอยู่เคียงข้างเสมอ
แม้เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว นอกจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จะทรงสืบสานพระปณิธานแล้ว ยังมีอีกหลายหน่วยงานที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ บางองค์กรทรงก่อตั้งด้วยพระองค์เองรวม 63 มูลนิธิ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สุขแห่งปวงราษฎรไทยสืบไปทั้งสิ้น
ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้ทรงพระชนมายุครบ 6 รอบนักษัตร 72 พรรษา ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2538 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้สถาปนาพระอิสริยศักดิ์ เป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายใน เป็นพระองค์แรกในรัชกาลปัจจุบัน มีพระนามตามพระสุพรรณบัฏ ว่า “สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์” ดังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศเกียรติคุณไว้บางตอนว่า
“สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เป็นสมเด็จพระโสทรเชษฐาภคินีอันสนิทแต่พระองค์เดียวที่ได้ทรงร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาแต่ยังทรงพระเยาว์ ทั้งเป็นผู้ที่ทรงเคารพนับถือในฐานะที่ทรงมีอุปการคุณมาแต่หนหลัง... ต่อมาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ก็ยังใฝ่พระหฤทัยมั่นคงอยู่มิได้ทอดทิ้งในอุปภารกิจที่มีแก่พระองค์ โดยเจตจำนงมุ่งหมายแต่จะให้ทรงพระเกษมสุข และทรงพระเจริญยิ่งด้วยพระราชอิสริยยศในมไหศูรย์สมบัติ... ทั้งได้ปฏิบัติวัฏฐากสมเด็จพระบรมราชชนนีอย่างใกล้ชิดในที่ทุกสถาน และรักษาพยาบาลในเมื่อทรงพระประชวรโดยมิได้มีความเบื่อหน่ายย่อหย่อน ด้วยมีพระประสงค์แบ่งเบาพระราชภาระทำให้ทรงคลายพระราชกังวล และวางพระราชหฤทัยในการส่วนสมเด็จพระบรมราชชนนีได้เป็นอันมาก...
มาบัดนี้ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงเจริญด้วยวัสสยุกาลวัยวุฒิกอปรด้วยพระอัธยาศัยซื่อตรง ดำรงพระองค์มั่นอยู่ในสุจริตธรรมสัมมาจารี มีความกตัญญูกตเวทีเป็นอย่างยิ่ง ทั้งทรงพระคุณแก่บ้านเมืองปรากฏอยู่เป็นอเนกปริยาย สมควรที่จะสถาปนาพระอิสริยศักดิ์ให้สูงขึ้น โดยอนุโลมตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี”
พระกรณียกิจตลอด 84 พรรษา ที่ทรงงานหนักมาตลอดนั้นมีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อยู่มากมาย ทั้งในด้านการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยและเด็กผู้ด้อยโอกาส, ทรงสนับสนุนส่งนักเรียนไทยรุ่นแรกไปแข่งโอลิมปิกวิชาการ,ทรงก่อตั้งทุนส่งเสริมดนตรีคลาสสิก, ทรงงานในมูลนิธิขาเทียมในพื้นที่ภาคใต้, ทรงงานช่วยเหลือเด็กออทิสติก, ทรงสนับสนุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคไต, ทรงงานในมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ฯลฯ ทั้งนี้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงสืบสานพระปณิธานในพระกรณียกิจร่วมกับสมเด็จพระบรมราชชนนี เสด็จพระดำเนินไปทุกที่ ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะยากลำบากเพียงใด ทรงเปี่ยมด้วยพลัง เสด็จไปถึงที่โดยมิย่อท้อ เพื่อความอยู่ดีมีสุขของปวงประชา
“แสง” ส่องสว่างอาบสะท้อนให้ผู้คนเห็นความงดงามของสรรพสิ่ง แสงมีคุณค่าที่ไม่เคยปรากฏตัว ผู้คนไม่คิดจะค้นหา..
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ ทรงเป็นดังแสงหนึ่งที่ส่องให้เห็นความงดงามบนแผ่นดินไทย เป็นดังแสงแห่งการให้ แสงแห่งความรัก และแสงแห่งความกรุณา
เมื่อแสงนั้นฉายผ่านท้องฟ้าจึงปรากฏเป็นรุ้งงาม 7 สี กอปรไปด้วย แดง เหลือง เขียว น้ำเงิน คราม ม่วง ดุจดังพระเกียรติคุณทั้งเจ็ด... ทั้งความเรียบง่าย รู้แจ้งเห็นจริง เปี่ยมพลังสร้างสรรค์ อุทิศพระองค์เพื่อปวงชน พระเมตตา ให้เกียรติผู้อื่น และความสง่างาม
ถ้าจะเปรียบตามจริงแล้ว ยังทรงเปรียบประดุจแสงที่ส่องฉาย และอาบสะท้อนให้ผู้คนได้มองเห็นความยิ่งใหญ่ ความสวยงามของพระราชบิดา พระราชมารดา พระอนุชาทั้งสองพระองค์ตลอดมา โดยผ่านพระอัจฉริยภาพในด้านต่างๆ รวมถึงพระกรณียกิจ, พระจริยวัตร, พระนิพนธ์หลากหลายมากมายนับไม่ถ้วน และ “แสงหนึ่ง” นี้ยังส่องสว่างให้ประชาราษฎร์ไทยในแผ่นดินได้มีชีวิตที่ดีขึ้น สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นจากพระกรณียกิจผ่านองค์กรและมูลนิธิต่างๆ มากมาย
เหนือสิ่งอื่นใด แสงหนึ่งนี้ ส่องยังผู้เป็นที่รักและเทิดทูนยิ่งของคนไทยทั้งแผ่นดิน
แม้วันนี้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์จะได้สิ้นพระชนม์ไปด้วยความโศกเศร้าของคนไทยทั้งประเทศ แต่แสงหนึ่งนี้จะฉายสะท้อนให้เห็นความงามทั่วแผ่นดินตราตรึงหัวใจประชาชนชาวไทยไปชั่วนิจนิรันดร์
ท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม ได้จัดทำหนังสือเล่มนี้และได้เขียนคำนำในหนังสือเล่มนี้เอาไว้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2550 ความตอนหนึ่งว่า:
หนังสือ “แสงหนึ่งคือรุ้งงาม” แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือ “แสงหนึ่ง” เป็นพระประวัติอย่างสั้นแต่ได้ใจความ อาศัยภาพเป็นเครื่องอธิบาย อีกส่วน “คือรุ้งงาม” ซึ่งอธิบายว่า แม่เปรียบเสมือนแสงหนึ่ง ที่ส่งสะท้อนเป็นรุ้ง 7 สีที่สวยงาม และแต่ละสีสื่อความหมาย เช่น แม่เป็นคนเรียบง่าย แม่มีพลังสร้างสรรค์ แม่มีความเมตตา และอื่นๆ จนครบ 7 สี และแสงหนึ่งนี้ยังมีความหมายที่ส่องยังบุคคลอันเป็นที่รักและเทิดทูนยิ่งของปวงชนชาวไทย คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเจริญพระชนมายุครบ 80 พรรษาอีกด้วย
“ลูกหวังว่า หนังสือ “แสงหนึ่งคือรุ้งงาม” จะเป็นประโยชน์ต่อคนที่ได้อ่าน และหากคิดสักนิดก็จะเห็นว่า ใครก็ตามไม่ว่ายากดีมีจน ก็สามารถทำประโยชน์ให้คนอื่นได้เสมอ ไม่มากก็น้อย”
เมื่อใครก็ตามที่ได้อ่านหนังสือชุดดังกล่าวก็จะรู้สึกประทับใจตลอดทั้งเล่ม เป็นการรวบรวมรูปภาพ หลักฐาน และเหตุการณ์ต่างๆ ที่หายาก แม้แต่ปริญญาบัตรที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้จบนั้นเป็นปริญญาบัตรด้านวิทยาศาสตร์สาขาเคมี ซึ่งคนทั่วไปส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้ ก็ยังปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มดังกล่าวด้วย
ผู้ที่ได้อ่านหนังสือชุดนี้ยังจะได้ความประทับใจในความรักและสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันระหว่างสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ กับพระอนุชาทั้งสอง ที่สะท้อนมาเป็นภาพส่วนพระองค์ที่หาชมยากและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เยาว์วัย การดำเนินชีวิตในวังสระปทุม พระปรีชาสามารถที่มีความหลากหลาย ตลอดจนการเลี้ยงดูของสมเด็จพระบรมราชชนนี
หลายภาพและหลายข้อความเมื่อได้เห็นแล้วต้องถึงกับน้ำตาซึมด้วยความปลาบปลื้มประทับใจอย่างที่ยากจะบรรยาย !!!
ทั้งสามพระองค์พี่น้องในราชสกุลมหิดล ต่างสนิทสนมรักใคร่ผูกพันทรงเติบโตท่ามกลางความเรียบง่ายและเป็นธรรมชาติ สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงอบรมดูแลให้ทุกพระองค์ช่วยเหลือตนเอง มีระเบียบวินัย และเอื้อเฟื้อต่อผู้ด้อยโอกาสกว่า จนเป็นพื้นฐานสำคัญในพระอุปนิสัยของทุกพระองค์
“ในครอบครัวเรา ความรับผิดชอบ เป็นของที่ไม่ต้องคิด เป็นธรรมชาติ สิ่งที่สอนกันอันแรกคือ เราจะทำอะไรให้เมืองไทย” คือพระราชดำรัสสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ที่ทรงตั้งอยู่ในพระปณิธานที่แน่วแน่ ทรงอุทิศพระองค์ด้วยพระกรณียกิจตลอด 84 ปีที่ผ่านมา เพื่อส่วนรวมหลายแขนง ตั้งแต่เสด็จกลับเมืองไทยในปี พ.ศ. 2493 ทรงเริ่มต้นเป็นอาจารย์สอนนิสิตนักศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยอื่นๆ อีกหลายแห่ง
ภาพที่ประชาชนไทยต่างคุ้นเคยและอยู่ในความทรงจำมาจนทุกวันนี้ คือเมื่อครั้งที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนียังทรงเจริญพระชนมชีพ ได้เสด็จไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรตามท้องถิ่นทุรกันดารอยู่เสมอ พร้อมกับทรงนำแพทย์อาสาไปให้การรักษาผู้เจ็บป่วย โดยมีสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ตามเสด็จอยู่เคียงข้างเสมอ
แม้เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว นอกจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ จะทรงสืบสานพระปณิธานแล้ว ยังมีอีกหลายหน่วยงานที่ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ บางองค์กรทรงก่อตั้งด้วยพระองค์เองรวม 63 มูลนิธิ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สุขแห่งปวงราษฎรไทยสืบไปทั้งสิ้น
ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ได้ทรงพระชนมายุครบ 6 รอบนักษัตร 72 พรรษา ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2538 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้สถาปนาพระอิสริยศักดิ์ เป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายใน เป็นพระองค์แรกในรัชกาลปัจจุบัน มีพระนามตามพระสุพรรณบัฏ ว่า “สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์” ดังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศเกียรติคุณไว้บางตอนว่า
“สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เป็นสมเด็จพระโสทรเชษฐาภคินีอันสนิทแต่พระองค์เดียวที่ได้ทรงร่วมสุขร่วมทุกข์กันมาแต่ยังทรงพระเยาว์ ทั้งเป็นผู้ที่ทรงเคารพนับถือในฐานะที่ทรงมีอุปการคุณมาแต่หนหลัง... ต่อมาสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ก็ยังใฝ่พระหฤทัยมั่นคงอยู่มิได้ทอดทิ้งในอุปภารกิจที่มีแก่พระองค์ โดยเจตจำนงมุ่งหมายแต่จะให้ทรงพระเกษมสุข และทรงพระเจริญยิ่งด้วยพระราชอิสริยยศในมไหศูรย์สมบัติ... ทั้งได้ปฏิบัติวัฏฐากสมเด็จพระบรมราชชนนีอย่างใกล้ชิดในที่ทุกสถาน และรักษาพยาบาลในเมื่อทรงพระประชวรโดยมิได้มีความเบื่อหน่ายย่อหย่อน ด้วยมีพระประสงค์แบ่งเบาพระราชภาระทำให้ทรงคลายพระราชกังวล และวางพระราชหฤทัยในการส่วนสมเด็จพระบรมราชชนนีได้เป็นอันมาก...
มาบัดนี้ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงเจริญด้วยวัสสยุกาลวัยวุฒิกอปรด้วยพระอัธยาศัยซื่อตรง ดำรงพระองค์มั่นอยู่ในสุจริตธรรมสัมมาจารี มีความกตัญญูกตเวทีเป็นอย่างยิ่ง ทั้งทรงพระคุณแก่บ้านเมืองปรากฏอยู่เป็นอเนกปริยาย สมควรที่จะสถาปนาพระอิสริยศักดิ์ให้สูงขึ้น โดยอนุโลมตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี”
พระกรณียกิจตลอด 84 พรรษา ที่ทรงงานหนักมาตลอดนั้นมีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อยู่มากมาย ทั้งในด้านการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยและเด็กผู้ด้อยโอกาส, ทรงสนับสนุนส่งนักเรียนไทยรุ่นแรกไปแข่งโอลิมปิกวิชาการ,ทรงก่อตั้งทุนส่งเสริมดนตรีคลาสสิก, ทรงงานในมูลนิธิขาเทียมในพื้นที่ภาคใต้, ทรงงานช่วยเหลือเด็กออทิสติก, ทรงสนับสนุนช่วยเหลือผู้ป่วยโรคไต, ทรงงานในมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ฯลฯ ทั้งนี้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงสืบสานพระปณิธานในพระกรณียกิจร่วมกับสมเด็จพระบรมราชชนนี เสด็จพระดำเนินไปทุกที่ ไม่ว่าเส้นทางนั้นจะยากลำบากเพียงใด ทรงเปี่ยมด้วยพลัง เสด็จไปถึงที่โดยมิย่อท้อ เพื่อความอยู่ดีมีสุขของปวงประชา
“แสง” ส่องสว่างอาบสะท้อนให้ผู้คนเห็นความงดงามของสรรพสิ่ง แสงมีคุณค่าที่ไม่เคยปรากฏตัว ผู้คนไม่คิดจะค้นหา..
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ ทรงเป็นดังแสงหนึ่งที่ส่องให้เห็นความงดงามบนแผ่นดินไทย เป็นดังแสงแห่งการให้ แสงแห่งความรัก และแสงแห่งความกรุณา
เมื่อแสงนั้นฉายผ่านท้องฟ้าจึงปรากฏเป็นรุ้งงาม 7 สี กอปรไปด้วย แดง เหลือง เขียว น้ำเงิน คราม ม่วง ดุจดังพระเกียรติคุณทั้งเจ็ด... ทั้งความเรียบง่าย รู้แจ้งเห็นจริง เปี่ยมพลังสร้างสรรค์ อุทิศพระองค์เพื่อปวงชน พระเมตตา ให้เกียรติผู้อื่น และความสง่างาม
ถ้าจะเปรียบตามจริงแล้ว ยังทรงเปรียบประดุจแสงที่ส่องฉาย และอาบสะท้อนให้ผู้คนได้มองเห็นความยิ่งใหญ่ ความสวยงามของพระราชบิดา พระราชมารดา พระอนุชาทั้งสองพระองค์ตลอดมา โดยผ่านพระอัจฉริยภาพในด้านต่างๆ รวมถึงพระกรณียกิจ, พระจริยวัตร, พระนิพนธ์หลากหลายมากมายนับไม่ถ้วน และ “แสงหนึ่ง” นี้ยังส่องสว่างให้ประชาราษฎร์ไทยในแผ่นดินได้มีชีวิตที่ดีขึ้น สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นจากพระกรณียกิจผ่านองค์กรและมูลนิธิต่างๆ มากมาย
เหนือสิ่งอื่นใด แสงหนึ่งนี้ ส่องยังผู้เป็นที่รักและเทิดทูนยิ่งของคนไทยทั้งแผ่นดิน
แม้วันนี้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์จะได้สิ้นพระชนม์ไปด้วยความโศกเศร้าของคนไทยทั้งประเทศ แต่แสงหนึ่งนี้จะฉายสะท้อนให้เห็นความงามทั่วแผ่นดินตราตรึงหัวใจประชาชนชาวไทยไปชั่วนิจนิรันดร์