ไปรษณีย์ไทย จับมือ กรมประมง ส่งด่วนปลากัด ซอฟต์พาวเวอร์ไทย บุก 5 ประเทศตลาดโลก หวังชิงเค้ก 10,000 ล้านบาท ดันเกษตรกรไทยตีตั๋วสู่เวทีส่งออก
เมื่อวันที่ 24 ก.ย.68 ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ไปรษณีย์ไทยได้ขยายบทบาทจากผู้ให้บริการรับ-ส่งพัสดุ ไปสู่การเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในทุกมิติ โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับกรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดบริการส่งด่วนสัตว์น้ำสวยงามไปต่างประเทศ ซึ่งจะเริ่มให้บริการเดือน ต.ค.68 ณ ไปรษณีย์จังหวัดนครปฐมเป็นแห่งแรก ทั้งนี้ นับเป็นการยกระดับบริการโลจิสติกส์ภายใต้แนวคิด Parcel Defined Logistics ที่ออกแบบระบบขนส่งให้สอดคล้องกับประเภทสินค้าที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เช่น ยา สินค้าไซส์ใหญ่ หรือสัตว์น้ำมีชีวิต
ขณะเดียวกัน ในช่วงเดือน ก.พ.-ส.ค.68 ที่ผ่านมา ไปรษณีย์ไทยได้ให้บริการส่งสัตว์น้ำสวยงามภายในประเทศไปแล้วมากกว่า 110,000 ชิ้นงาน ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพการขนส่งแบบเฉพาะทางที่ได้รับความเชื่อมั่นจากเกษตรกรและผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง
ดร.ดนันท์ กล่าวว่า ความร่วมมือกับกรมประมงในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการส่งสินค้าไปต่างประเทศ แต่เป็นการเปิดประตูสู่ตลาดโลกให้กับเกษตรกรไทย โดยไปรษณีย์ไทยจะเชื่อมต่อสัตว์น้ำสวยงามไทยไปยังกว่า 190 ประเทศ ผ่านเครือข่ายของไปรษณีย์กว่า 50,000 แห่งทั่วโลก อีกทั้ง ยังมุ่งผลักดันให้ ปลากัดไทย กลายเป็นสินค้าส่งออกหลัก และเป็นภาพจำใหม่ของประเทศในฐานะแหล่งผลิตสัตว์น้ำสวยงามระดับโลก
สำหรับเฟสแรก ไปรษณีย์ไทยจะมุ่งเน้นการส่งออกปลากัดไปยัง 5 ประเทศเป้าหมาย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และอินโดนีเซีย พร้อมกันนี้ ยังได้ออกแบบระบบบริการแบบครบวงจร ทั้งจุดรับฝากเฉพาะสัตว์น้ำ ระบบเอกสารที่ลูกค้าสามารถเลือกดำเนินการเองหรือให้ไปรษณีย์ไทยดำเนินการแทน ระบบขนส่งแบบ Special Handling พร้อมบรรจุภัณฑ์เฉพาะ และระบบติดตาม Tracking ตลอดเส้นทาง เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้ซื้อทั่วโลก
ปัจจุบัน ไปรษณีย์ไทยเปิดให้บริการส่งด่วนสัตว์น้ำสวยงามในประเทศแล้วครอบคลุมสัตว์น้ำ 12 ชนิด เช่น ปลากัด ปลาหางนกยูง ปลาสอด กุ้งสวยงาม ไม้น้ำ และสาหร่ายพวงองุ่น โดยมุ่งช่วยเกษตรกรให้เข้าถึงตลาดใหม่ ลดภาระเอกสาร และมีช่องทางการจำหน่ายที่ปลอดภัย มีมาตรฐานระดับสากล
ขณะที่ นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดโลกของสัตว์น้ำสวยงามมีมูลค่าสูงกว่า 10,000 ล้านบาท/ปี โดยประเทศไทยมีเกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามที่ขึ้นทะเบียนแล้วกว่า 10,000 ราย ขณะที่ในปี 67 ไทยมีมูลค่าการส่งออกสัตว์น้ำสวยงามกว่า 1,000 ล้านบาท โดยปลากัดครองสัดส่วนมากที่สุดที่ 400 ล้านบาท หรือราว 40% ของการส่งออกทั้งหมด รองลงมาได้แก่ ปลาทอง ปลาหางนกยูง ปลาสอด กุ้ง และปลาหมอสี
ทั้งนี้ กรมประมงจะสนับสนุนด้านวิชาการและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อส่งออก เช่น การถ่ายทอดองค์ความรู้ การขึ้นทะเบียน การตรวจสอบสุขภาพสัตว์น้ำ การออกใบรับรองสุขภาพ และเอกสารประกอบการส่งออก เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถส่งออกได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและมาตรฐานสากล
นายบัญชา กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการส่งเสริมศักยภาพเกษตรกรไทยในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะผู้นำด้านสัตว์น้ำสวยงามและซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) บนเวทีโลกอีกด้วย
สำหรับเกษตรกรหรือผู้ประกอบการฟาร์มเพาะเลี้ยงที่ต้องการใช้บริการส่งด่วนไปต่างประเทศ ต้องมีคุณสมบัติอย่างน้อยหนึ่งข้อ ได้แก่ 1.ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบการด้านการประมง (ทบ.2) 2.ขึ้นทะเบียนสถานประกอบการเพาะเลี้ยงเพื่อการส่งออก (สอ.3) และ 3.ขึ้นทะเบียนสถานประกอบการรวบรวมเพื่อการส่งออก (สอ.4)
ในการส่งออกปลากัดแต่ละครั้ง ต้องยื่นเอกสาร 5 ประเภทจากกรมประมง ได้แก่ 1.ใบอนุญาตส่งออกสัตว์น้ำ (ร.9) 2.หนังสือรับรองสุขภาพสัตว์น้ำ (Health Certificate) 3.ใบแจ้งดำเนินการส่งออก (DOF4) 4.ใบอนุญาตให้ส่งออกสัตว์น้ำ (DOF11) และ 5.หนังสือรับรองตนเองในการแจ้งแหล่งที่มา (Self Certificate)
นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยและกรมประมงยังเตรียมจัดอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรที่ยังไม่เข้าใจกระบวนการส่งออก โดยเฉพาะการขึ้นทะเบียนและการเตรียมความพร้อมด้านกฎระเบียบ ซึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการส่งออกไปยังประเทศจีน จะต้องขึ้นทะเบียนกับ GACC (General Administration of Customs of the People's Republic of China) ก่อนด้วยเช่นกัน