กระทรวงดีอี คุมเข้มบัญชีม้า ระงับธุรกรรม 7 วัน ไม่ใช่อายัดบัญชี ปลดล็อกทันทีหากบริสุทธิ์ ตรวจข้อมูลครบ 4 จุด เสร็จในครึ่งวัน ไม่กระทบวงเงินอื่นในบัญชี
เมื่อวันที่ 15 ก.ย.68 ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยถึงการดำเนินมาตรการระงับธุรกรรมชั่วคราว ตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 โดยยืนยันว่าการระงับธุรกรรม ไม่ใช่การอายัดบัญชีแต่อย่างใด
การระงับจะกระทำเฉพาะวงเงินที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมจากบัญชีม้า และจะมีผลแค่ 7 วันเท่านั้น หากในช่วงเวลาดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่พบพยานหลักฐานใหม่เพื่อขออายัดบัญชีอย่างเป็นทางการ บัญชีเหล่านั้นจะได้รับการปลดระงับทันที และหากพบว่าผู้ใช้บัญชีเป็นผู้บริสุทธิ์ จะรีบดำเนินการให้พ้นจากกระบวนการโดยเร็ว
ล่าสุดมีประชาชนโทรเข้ามาขอปลดการระงับธุรกรรมกว่า 1,300 สาย แต่ให้ข้อมูลครบถ้วนเพียง 300 ราย และในจำนวนนี้สามารถปลดระงับธุรกรรมได้เพียง 10% ที่เหลือพบพฤติกรรมเข้าข่ายเกี่ยวข้องกับบัญชีม้า หากไม่มีความผิดจะได้รับการปลดทันที ปัจจุบันมีคดีเข้าสู่ระบบวันละกว่า 1,000 เรื่อง มีการแจ้งธนาคารให้ระงับวงเงินเฉพาะส่วนที่ได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย ไม่กระทบต่อยอดเงินทั้งหมดในบัญชี
สำหรับผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกระงับการทำธุรกรรม สามารถติดต่อศูนย์ AOC 1441 ได้โดยตรง พร้อมแจ้งข้อมูล 4 อย่าง ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล, หมายเลขบัตรประชาชน, เลขที่บัญชี และธนาคาร เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบและปลดล็อกได้ภายในไม่เกินครึ่งวัน
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบ พบว่าธุรกรรมที่เข้าข่ายบัญชีม้ามักเกี่ยวข้องกับเงินหลักแสนถึงหลักล้าน ไม่ใช่กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปที่ใช้วงเงินไม่มาก ส่วนข้อสงสัยว่าระบบเลือกปฏิบัติหรือไม่ ยืนยันว่าทุกบัญชีที่เข้าข่ายจะถูกระงบเท่าเทียมกัน แม้แต่บริษัทขนาดใหญ่ก็อยู่ในข่าย เพียงแต่วงเงินที่ถูกระงบอาจเล็กน้อยจนไม่รู้สึกถึงผลกระทบ
การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมาย ภายใต้ความร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีแผนเพิ่มมาตรการตรวจสอบธุรกรรมให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อให้การคัดแยกระหว่างบัญชีที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม และบัญชีของผู้บริสุทธิ์เป็นไปอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และลดผลกระทบให้น้อยที่สุด
"หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังอยู่ระหว่างการหารือ เพื่อพัฒนาระบบกลั่นกรองธุรกรรมให้สามารถตรวจสอบได้ตั้งแต่ต้นทาง ไม่ต้องรอให้เกิดความเสียหายก่อนถึงจะดำเนินการ ซึ่งต้องอาศัยข้อมูล ความร่วมมือ และระบบที่เชื่อมโยงจากทุกฝ่าย" ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ กล่าว