Xiaomi เปิดตัวสมาร์ทโฟนในตระกูล Redmi Note 13 อย่างเป็นทางการ 3 รุ่น ในช่วงราคา 6,999-15,990 บาท พร้อมดึง ‘แบมแบม’ เป็นพรีเซ็นเตอร์ระดับภูมิภาค เปิดให้สั่งจองล่วงหน้า-26 มกราคม ก่อนวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 27 ม.ค.67 พร้อมสมาร์ทวอทช์ Redmi Watch 4 หูฟัง Redmi Buds 5 Pro และ Redmi Buds 5
อเล็กซ์ ถัง ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เสียวหมี่ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า เสียวหมี่เป็นแบรนด์เทคโนโลยีชั้นนำของโลกที่ออกแบบและผลิตสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ AIoT ต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของผู้คน ซึ่งรวมถึงคนรุ่นใหม่ที่เป็นกลุ่มที่มีไลฟ์สไตล์โดดเด่น กล้าแสดงออก เป็นตัวของตัวเอง
“การรุกตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลางด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟน Redmi Note 13 Series ได้มีการเปิดตัวแอมบาสเดอร์คนแรกของเสียวหมี่ อินเตอร์เนชั่นแนล ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะแบมแบมเป็นตัวอย่างของคนที่มีทั้งความสามารถและความพยายามในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ และเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด สอดรับกับคอนเซ็ปต์ Every shot iconic หรือโดดเด่นในทุกช็อต ซึ่งเป็นสโลแกนของสมาร์ทโฟน Redmi Note 13 Series”
เบื้องต้น ผู้บริหารเสียวหมี่ มองว่า ตลาดอาเซียนนับเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญที่มีความต้องการของผู้ใช้งานที่หลากหลาย ทำให้เสียวหมี่ มีการนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อเข้าไปตอบโจทย์ตั้งแต่สมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปในซีรีส์ของ Xiaomi ตามด้วย Xiaomi T ซีรีส์ Redmi Note ซีรีส์ Redmi ซีรีส์ รวมถึง POCO ให้ผู้บริโภคได้เข้าถึง
ส่วนในอนาคตเสียวหมี่ มีโอกาสที่จะขยายการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดโลก หลังจากเริ่มทำตลาดในประเทศจีนแล้ว เพียงแต่ยังไม่สามารถให้ข้อมูลในตอนนี้ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะ EV ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำคัญของเสียวหมี่ในอนาคต
สำหรับ Redmi Note 13 Pro+ 5G จะมากับกล้องหลักความละเอียด 200 ล้านพิกเซล ในขณะที่ Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 มากับกล้อง 108 ล้านพิกเซล ทำให้นับเป็นสินค้าเรือธงระดับกลางของ Xiaomi ที่ชูเรื่องของการถ่ายภาพเป็นหลัก
ภายใน Redmi Note 13 Pro+ 5G จะมีการนำเทคโนโลยีประมวลผลภาพเพิ่มเติมมาใช้ ที่จะเปลี่ยนภาพที่ได้จากเซ็นเซอร์หลักขนาด 1/1.4” มาใช้ Tetra2 ในการรวมเม็ดพิกเซลจาก 16 พิกเซล เป็น 1 พิกเซล ทำให้ได้ทั้งรายละเอียด และแสงที่คมชัดมากขึ้น ส่วนในรุ่นธรรมดา แปลงจาก 8 พิกเซล ลงมาเป็น 1 พิกเซล
เมื่อรวมกับการทำงานของเลนส์มุมมกว้าง 8 ล้านพิกเซล มาโคร 2 ล้านพิกเซล และกล้องเซลฟี่ 16 ล้านพิกเซล ผสมกับ Xiaomi Imaging Engine ที่มีการทำ Computational Photography จะช่วยให้ Redmi 13 ซีรีส์ รองรับการถ่ายภาพในทุกสถานการณ์
ความโดดเด่นของ Redmi Note 13 Pro+ 5G คือมากับหน้าจอ AMOLED ความละเอียด 1.5K ความสว่างสูงสุด 1800 nits ในขณะที่ Redmi Note 13 5G และ Redmi Note 13 มากับหน้าจอ AMOLED ความละเอียด FHD+ รองรับอัตราการแสดงผลที่ 120 Hz
ทั้งนี้ ราคาจำหน่ายของ Redmi Note 13 Pro+ 5G มีให้เลือก 3 สี Midnight Black, Moonlight White และ Aurora Purple ในรุ่น 8/256 GB ราคา 13,990 บาท และรุ่น 12/512 GB ในราคา 15,990 บาท
ขณะที่ Redmi Note 13 5G วางจำหน่ายด้วยกัน 3 สี คือ Graphite Black, Ocean Teal และ Arctic White ในรุ่น 8/256 GB ราคา 7,999 บาท และ 12/512 GB ราคา 9,999 บาท ส่วน Redmi Note 13 มี 3 สี Midnight Black, Mint Green และ Ocean Sunset รุ่น 8/256 ราคา 6,999 บาท
นอกจากนี้ ยังเปิดตัวสมาร์ทวอทช์ Redmi Watch 4 ขนาดหน้าจอ 1.97 นิ้ว ที่ใช้เฟรมอะลูมิเนียมอัลลอย มีเม็ดมะยมสเตนเลสสตีล มาพร้อมฟีเจอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ การวัดออกซิเจนในเลือด สามารถตรวจจับโหมดกีฬา 150 โหมด ในราคา 3,690 บาท หูฟัง Redmi Buds 5 Pro หูฟังตัดเสียงรบกวน ใช้งานได้ต่อเนื่อง 10 ชั่วโมง ราคา 2,690 บาท และ Redmi Buds 5 ราคา 1,590 บาท