ก่อนหน้านี้ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่ (Xiaomi) จะคุ้นเคยกับระบบปฏิบัติการอย่าง MIUI ที่ถือเป็นจุดเด่นของการพัฒนามาครอบบน Android เพื่อให้ทุกคนใช้งานกันได้อย่างลื่นไหล
แต่จากวิสัยทัศน์ล่าสุดของซีอีโอ Xiaomi ที่ต้องการนำระบบปฏิบัติการใหม่มาขับเคลื่อนอีโคซิสเต็มที่ไม่ใช่แค่สมาร์ทโฟน แต่รวมถึงสมาร์ทดีไวซ์ รถยนต์ และผลิตภัณฑ์ IoT ในบ้าน ให้สามารถเชื่อมต่อกันได้แบบอัจฉริยะ และมีความปลอดภัยสูง
จึงได้เริ่มพัฒนา Xiaomi HyperOS ตั้งแต่ปี 2560 และจะเริ่มนำไปใช้กับอุปกรณ์ใหม่ที่เปิดตัวมาพร้อมกับ Xiaomi 14 Series, Xiaomi Watch S3, Xiaomi TV S Pro 85" MiniLED และอุปกรณ์อื่นๆ ในตลาดภายในประเทศจีน
ในช่วงเวลา 13 ปีที่ผ่านมา เสียวหมี่สามารถขยายฐานผู้ใช้งานจาก 100 รายมาถึง 1.175 พันล้านรายทั่วโลก มีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมมากกว่า 200 หมวด ทำให้ต้องมีระบบปฏิบัติการที่เข้าถึงได้กับทุกอุปกรณ์
สำหรับจุดเด่นของ Xiaomi HyperOS จะได้รับการปรับปรุงให้สามารถสั่งงานฮาร์ดแวร์ได้อย่างแม่นยำ เช่น การปรับลำดับความสำคัญของการประมวลผลให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยให้อัตราเฟรมเรตเสถียรเวลาเล่นเกม
นอกจากนี้ ยังรองรับการเชื่อมต่ออัจฉริยะแบบ Cross-End (Cross-End Intelligent Connectivity) จาก HyperConnect ซึ่งเป็นโครงสร้างการเชื่อมต่ออัจฉริยะแบบ Cross-End ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ มาช่วยอำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อเครือข่ายแบบเรียลไทม์ระหว่างอุปกรณ์จำนวนมาก
เพื่อการปรับใช้โมเดลพื้นฐานขนาดใหญ่อย่างมีประสิทธิภาพ Xiaomi HyperOS ยังใช้ประโยชน์จากระบบย่อย AI เพื่อรวมเข้ากับ NPU ของอุปกรณ์ นำไปสู่การปรับปรุงฟีเจอร์ต่างๆ เช่น 'Text to Image' และ 'Image Extender' ของ Xiaomi AI Assistant ในอัลบั้มรูปภาพของอุปกรณ์
ทำให้ท้ายที่สุดแล้ว Xiaomi HyperOS จะระบบปฏิบัติการที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง โดยถูกออกแบบมาและปรับแต่งเพื่อเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ส่วนบุคคล รถยนต์ และผลิตภัณฑ์บ้านอัจฉริยะในอีโคซิสเต็มอัจฉริยะ ระบบดังกล่าวถือเป็นการก้าวสำคัญในการก้าวไปข้างหน้าของวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของเสียวหมี่ในการส่งมอบอีโคซิสเต็มอัจฉริยะ "มนุษย์ x รถยนต์ x บ้าน"
