การรุกเข้าสู่ธุรกิจพลังงานสะอาด (Digital Power) ของ ‘หัวเว่ย’ (HUAWEI) แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่จะก้าวข้ามจากการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมไอซีที สู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยการนำความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีมาช่วยให้ธุรกิจในไทยที่ทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล ต่อยอดไปสู่การใช้พลังงานสะอาดมาขับเคลื่อนธุรกิจ
โดยในช่วงปี 2022 ที่ผ่านมา หัวเว่ยใช้งบประมาณในการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาไปกว่า 25.1% ของรายได้ หรือกว่า 1.6 แสนล้านหยวน ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุด เพราะเมื่อรวมกันแล้วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา หัวเว่ยใช้งบในการวิจัยและพัฒนาไปแล้วกว่า 9.7 แสนล้านหยวน
อีริค สวี ประธานกรรมการบริหารหมุนเวียนตามวาระ หัวเว่ย กล่าวว่า จากสภาพการแข่งขันที่ท้าทายทั้งเศรษฐกิจ และปัจจัยภายนอกทำให้ปีที่ผ่านมา หัวเว่ยต้องเร่งลงทุนเพื่อสร้างรากฐานสำหรับการเติบโตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
“ท่ามกลางพายุที่เกิดขึ้นนี้ หัวเว่ยยังสามารถรักษาการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าการแข่งขันที่เกิดขึ้นในปีนี้จะมีความสำคัญต่อความอยู่รอด และการพัฒนาอย่างยั่งยืนของหัวเว่ย จากการที่ขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง”
พร้อมกันนี้ อีริค ได้เปรียบเทียบหัวเว่ยในช่วงที่ผ่านมาว่าเหมือนดอกท้อที่พร้อมจะเติบโตอย่างหวานชื่น หลังจากผ่านฤดูหนาวที่โหดร้ายจากสงครามทางการค้าในช่วงที่ผ่านมา และแม้ว่าจะมีความกดดันรออยู่มากแค่ไหน หัวเว่ยพร้อมที่จะแข่งขันและเติบโตไปพร้อมกับทุกๆ ประเทศที่เข้าไปลงทุน
ทั้งนี้ ในปี 2022 ที่ผ่านมา หัวเว่ยสามารถทำรายได้ไปกว่า 6.42 แสนล้านหยวน เติบโตจากปีก่อนหน้า 0.9% โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจผู้ให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคม 2.84 แสนล้านหยวน ตามด้วยธุรกิจคอนซูเมอร์ 2.14 แสนล้านหยวน และธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรซ์ 1.33 ล้านหยวน
ขณะเดียวกัน จากพันธกิจของหัวเว่ยที่วางไว้ในปีนี้ คือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาสู่ทุกคน ทุกบ้าน และทุกองค์กรเพื่อให้สามารถเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีอัจฉริยะได้ ทำให้ในปีนี้จะต้องมีการขับเคลื่อนทางด้านการเชื่อมต่อที่เข้าถึงอย่างเท่าเทียม พร้อมกับการนำการประมวลผลบนคลาวด์ และความเชี่ยวชาญทางธุรกิจเข้าไปสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยให้แต่ละอุตสาหกรรมสามารถขับเคลื่อนได้อย่างคล่องตัว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
***แยกโฟกัส 5 หน่วยธุรกิจ
สำหรับในประเทศไทย ปีนี้หัวเว่ยจะให้ความสำคัญกับ 5 หน่วยธุรกิจที่จะมีการแยกย่อยออกมาจากธุรกิจหลักอย่างผู้ให้บริการ (Carrier) คอนซูเมอร์ (Consumer) และเอ็นเตอร์ไพรซ์ (Enterprise) เสริมด้วยคลาวด์ (Cloud) และธุรกิจพลังงานสะอาด (Digital Power) ซึ่งปีที่ผ่านมามีการเติบโตแบบก้าวกระโดด
เดวิด หลี่ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในธุรกิจผู้ให้บริการโครงข่ายประเทศไทยนั้นมีการเติบโตอย่างมั่นคง จากการที่ผู้ให้บริการเครือข่ายในไทยมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างการเชื่อมต่อ 5G อย่างต่อเนื่อง และถือเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของหัวเว่ยเสมอมา
“ประเทศไทยอยู่ในแถวหน้า และเป็นผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และเชื่อว่าในปีนี้จะใช้ประโยชน์จากการขยายตัวของ 5G เพื่อปรับกระบวนการทางธุรกิจให้เป็นแบบดิจิทัล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับธุรกิจผู้ให้บริการโครงข่าย”
ผู้บริหารหัวเว่ย ให้ความเห็นต่อกรณีการควบรวมกิจการที่เกิดขึ้นว่า จะส่งผลให้เกิดการเสริมศักยภาพในการใช้ทรัพยากรเครือข่ายให้เป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น และช่วยให้คนไทยได้รับบริการที่ดีขึ้น ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของหัวเว่ยอย่างแน่นอน
ในขณะที่ธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรซ์ จะมุ่งไปที่การเข้าไปเสริมศักยภาพของภาคธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรมด้วยการนำดิจิทัลไปใช้งาน เช่นเดียวกับธุรกิจคลาวด์ ซึ่งหัวเว่ยนับเป็นผู้ให้บริการระดับโลกรายแรกๆ ที่เข้ามาให้บริการคลาวด์ในราคาที่จับต้องได้ในประเทศไทย
“ปีนี้หัวเว่ยมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเอ็นเตอร์ไพรซ์มากกว่า 250 รายการ ที่สามารถส่งมอบได้ภายใน 60 วัน ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดและช่วยลูกค้าสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้สูงขึ้น”
โดยจะมุ่งเน้นต่อยอดในอุตสาหกรรมสำคัญมากกว่า 10 กลุ่มอุตสาหกรรม ประกอบด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์เอ็นเตอร์ไพรซ์ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทซิตี การเงิน พลังงาน การขนส่ง ผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต การศึกษา การดูแลสุขภาพ และอสังหาริมทรัพย์
ส่วนธุรกิจคอนซูเมอร์ หัวเว่ยยังยึดมั่นกับกลยุทธ์ 1+8+N ที่จะมีอุปกรณ์หลักในการเชื่อมต่อไปยังสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์ IoT ที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น และเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค
สุดท้ายในกลุ่มของเทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทางหัวเว่ย เชื่อว่าจะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤตพลังงาน พลิกโฉมการใช้พลังงานสะอาดให้เกิดขึ้นในประเทศไทยและเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงมาก
***มุ่งลงทุนพลังงานสะอาด
เดวิด หลี่ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ของหัวเว่ยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และในอนาคตหัวเว่ยจะมุ่งส่งเสริมและลงทุนเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดในประเทศไทย สอดคล้องกับพันธกิจหัวเว่ย ‘เติบโตไปพร้อมกับประเทศไทย และร่วมสนับสนุนประเทศไทย’ (Grow in Thailand, Contribute to Thailand)
“สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากหัวเว่ย เข้ามาให้บริการในธุรกิจพลังงานสะอาดพบว่า ในไทย รวมถึงทั่วโลกเกิดปัญหาในแง่ของการขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ทางด้านพลังงานสะอาด ทำให้ในปีนี้จะมุ่งส่งเสริมการฝึกทักษะวิศวกรในส่วนนี้เพิ่มเติมขึ้นมา”
เบื้องต้น หัวเว่ยมีโครงการที่จะฝึกอบรมเพื่อถ่ายทอดความรู้ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจพลังงานสะอาดตั้งแต่การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ การเชื่อมต่อโซลูชันจัดการพลังงานต่างๆ ด้วยเป้าหมายการฝึกอบรมวิศวกรด้านพลังงานสะอาดจำนวน 10,000 คน ภายใน 3 ปี ซึ่งปัจจุบันมีบุคลากรที่ผ่านการอบรมไปแล้วกว่า 358 คน
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกยังวางแผนที่จะจัดกิจกรรมร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อส่งเสริมการขยายธุรกิจด้านพลังงานสะอาด โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นพาร์ตเนอร์ในระดับ SMEs ที่จะเข้ามาช่วยเป็นผู้ติดตั้งอุปกรณ์ในโซลูชันพลังงานสะอาดของหัวเว่ย
สำหรับกลยุทธ์ด้านพลังงานสะอาดของหัวเว่ยจะเน้นกลุ่มที่อยู่อาศัยและองค์กรเชิงพาณิชย์ ที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำข้อตกลงกับบริษัทชั้นนำขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมถึงหน่วยงานรัฐบาล เพื่อพิจารณาการสร้างโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ เช่น โซลาร์ฟาร์ม
"หัวเว่ยไม่สามารถบรรลุเป้าหมายใหญ่นี้ได้เพียงลำพัง เรายังต้องการความร่วมมือจากพันธมิตรจำนวนมากเพื่อบรรลุเป้าหมายธุรกิจ รวมทั้งผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายด้านการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดของประเทศอีกด้วย”
เดวิด หลี่ เชื่อว่า ธุรกิจพลังงานใหม่นี้จะเป็น 1 ใน 2 ธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูงที่สุด รวมกับธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรซ์ที่จะช่วยอุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ซึ่งหัวเว่ยมีความพร้อมที่ครอบคลุมทั้งการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และการที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางไอที และคลาวด์จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้ในยุคดิจิทัล
เหตุผลสำคัญที่ทำให้หัวเว่ยมั่นใจว่าธุรกิจพลังงานสะอาด โดยเฉพาะพลังงานจากแสงอาทิตย์จะได้รับความนิยมในประเทศไทย เกิดขึ้นจากก่อนหน้าที่ หัวเว่ย เข้าไปทำตลาดโซลาร์เซลล์ในแถบประเทศยุโรป และได้รับการตอบรับที่ดี ในขณะที่ประเทศไทยมีแสงแดดที่มากกว่าในทวีปยุโรปหลายเท่าตัว ทำให้แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นพัฒนาเทคโนโลยีนี้ แต่จากปัจจัยในแง่ของราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน และการใส่ใจสิ่งแวดล้อมของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทำให้เชื่อว่าธุรกิจนี้มีโอกาสเติบโตไปได้ไกล
“เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ของหัวเว่ยที่พัฒนาขึ้นจะมีความแตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นๆ อย่างเรื่องของแสงแดดที่ส่องมาบนแผงโซลาร์เซลล์ ส่วนใหญ่จะทำการเก็บพลังงานในจุดที่ได้รับแสงแดดเท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีของหัวเว่ย แม้ว่าแสงแดดจะส่องโดนแผงโซลาร์ไม่เต็มแผ่นก็สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”
นอกจากนี้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หัวเว่ยจะเปิดตัวแคมเปญการเล่นน้ำช่วงเทศกาล ชวนมาร่วมกิจกรรม หากมีผู้เข้าร่วมถึง 5,000 คนขึ้นไป หัวเว่ยจะส่งมอบระบบโซลาร์เซลล์ให้โรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่ชนบท ช่วยให้โรงเรียนเหล่านี้มีแหล่งพลังงานไฟฟ้าไว้ใช้งานได้ตลอดปี