เมื่อการเข้าสู่ยุคของไฮบริดเวิร์ก (Hybrid Work) ถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ทั้งองค์กรธุรกิจ ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคต้องมีการเร่งปรับตัวเพื่อรับกับโลกของการทำงานยุคใหม่ อีกภาคส่วนสำคัญที่ต้องมีการปรับตัวให้รวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าในกลุ่มผู้ใช้ คงหนีไม่พ้นบรรดาแบรนด์ทางเทคโนโลยีที่ต้องก้าวล้ำขึ้นไปล่วงหน้า เพื่อนำเสนอประสบการณ์ใช้งานในยุคดิจิทัลที่จะเข้ามาตอบโจทย์การทำงานของผู้ใช้ให้ครอบคลุมมากที่สุด
เดลล์ ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ปรับตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยการนำเสนอสายผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ออกมารับกับการทำงานแบบไฮบริด ที่การทำงานไม่ได้ต้องอยู่ในสำนักงาน หรือสถานที่ใดที่หนึ่งอีกต่อไป แต่ต้องรองรับการทำงานได้จากทุกที่ทุกเวลา ที่สำคัญคือต้องมีประสิทธิภาพ และความปลอดภัยไม่แตกต่างกัน
อโณทัย เวทยากร รองประธานบริหารตลาดเกิดใหม่ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และกลุ่มธุรกิจคอนซูเมอร์ภูมิภาคเอเชียใต้ เดลล์ เทคโนโลยีส์ ชี้ให้เห็นถึงภาพรวมของธุรกิจไอทีในปีนี้ว่า จะถือเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายอีกครั้ง จากทั้งสภาพเศรษฐกิจ สังคม และสงครามที่เกิดขึ้น
โดยหลังจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บรรดาแบรนด์ไอทีต่างได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ได้รับการเติบโตที่เพิ่มขึ้น ยอดขายพีซี และบรรดาอุปกรณ์สมาร์ทดีไวซ์ต่างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่กลายเป็นว่าในช่วงต้นปีที่ผ่านมากลับเริ่มเกิดการชะลอตัวจากหลายๆ ปัจจัย
“ในภาพรวมระดับของเศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics) จะเห็นได้ว่ามีหลายภาวะต่างๆ ในโลกที่ทำให้เกิดผลกระทบในบางกลุ่มธุรกิจ อย่างวิกฤตพลังงานที่เกิดขึ้นทำให้ภาคขนส่งมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น หรือแม้แต่การเกิดสงครามที่ทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธุรกิจไอทียังถือว่ามีหลายปัจจัยบวกที่เข้ามาช่วยให้หลายองค์กรธุรกิจมีความจำเป็นในการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี จากทั้งเรื่องของดิสรัปชัน ที่ทำให้เกิดการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน จนถึงการเกิดขึ้นของยุคไฮบริดเวิร์กฟอร์ซ
“แม้ว่าจะมีปัจจัยเข้ามาส่งผลกระทบ แต่กลายเป็นว่าหลายแผนการลงทุนยังต้องเดินหน้าต่อไป ทำให้เชื่อว่าในปีนี้ภาพรวมของธุรกิจไอทียังคงเติบโตอยู่ และแน่นอนว่ายังคงมีผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเรื่องของการขาดแคลนชิปเซ็ตอยู่ด้วยเช่นกัน”
***ผลิตภัณฑ์จากรีไซเคิลเพื่อความยั่งยืน
นอกเหนือจากเรื่องของโรคระบาดโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ มนุษย์ยังต้องเผชิญกับอีก 3 ความท้าทายใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ทั่วโลก ประกอบไปด้วย เรื่องของสิ่งแวดล้อมที่ปัจจุบันเริ่มเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน ตามมาด้วยปัญหาในเรื่องของความเท่าเทียมในทุกเรื่องที่กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงทั่วโลก และสุดท้ายคือเมื่อเข้าสู่ดิจิทัลสิ่งที่ตามมาคือปัญหาการละเมิดความเป็นส่วนตัว
“ในช่วงที่ผ่านมา เดลล์มีแผนการดำเนินงาน และการวัดผลในแง่ของการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนตามเป้าหมายในปี 2030 โดยเฉพาะเรื่องของการนำวัสดุรีไซเคิล และวัสดุธรรมชาติมาใช้กับผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด”
เป้าหมายในระยะยาวของเดลล์ คือการเป็นองค์กรที่ทำธุรกิจโดยไร้ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยสิ้นเชิง (Zero Emission) จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายว่า บรรจุภัณฑ์ของเดลล์ทั้งหมด 100% จะต้องมาจากวัสดุรีไซเคิล หรือธรรมชาติ 50% ของผลิตภัณฑ์จะต้องผลิตจากวัสดุธรรมชาติ หรือรีไซเคิล รวมถึงการออกโปรแกรมนำผลิตภัณฑ์เก่ามาแลกเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่เพื่อนำไปรีไซเคิล ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ในท้องตลาด
“ตอนนี้ผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กในกลุ่ม Latitude 3000 ซีรีส์ 5000 ซีรีส์ และ 7000 ซีรีส์ รวมถึง Precision 5000 ซีรีส์ ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลแบบ 100% แล้ว และในปีนี้จะขยายไปยังไลน์คอมเมอร์เชียล และคอนซูเมอร์อื่นๆ ต่อไป”
นอกจากบรรจุภัณฑ์แล้ว ในผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กอย่าง Latitude 5000 ซีรีส์ รุ่นใหม่ในปีนี้เริ่มนำวัสดุรีไซเคิลมาใช้งานถึง 71% ในส่วนของฝาเครื่องด้านบน ทั้งพลาสติกรีไซเคิล และอะลูมิเนียมที่ถูกรีไซเคิลจากอุตสาหกรรมอื่นๆ ส่วนในฐานเครื่องใช้คาร์บอนไฟเบอร์รีไซเคิล ผสมผสานกับวัสดุยางที่ผลิตจากธรรมชาติ
“หนึ่งในความสำเร็จของเดลล์ในแง่ของความยั่งยืนคือการยกระดับการนำขยะพลาสติกที่ถูกทิ้งอยู่ในทะเล (Ocean bound Plastic) มาใช้งานทั้งในส่วนของพัดลมระบายความร้อนในตัวเครื่อง จนถึงกระเป๋าใส่โน้ตบุ๊กที่นำวัสดุนี้มาใช้งานด้วย”
***ยุคของ Hybrid Workforce
ขณะที่ นพดล ปัญญาธิปัตย์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย เดลล์ ชี้ให้เห็นว่า การทำงานแบบไฮบริดเวิร์กไม่ได้เป็นแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือเป็นสิทธิพิเศษสำหรับพนักงานบางคน แต่กลายเป็นมาตรฐานในการทำงานยุคปัจจุบันแล้ว
“พนักงานจะมีความคาดหวังเกี่ยวกับความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น ทำให้องค์กรต้องมีนโยบายที่เหมาะสม จึงสามารถดึงดูดให้แรงงานในยุคดิจิทัลให้ความสนใจ โดยเฉพาะการเลือกหาเครื่องมือในการทำงานที่มีความเสถียร เชื่อมต่อการทำงานร่วมกันบนพื้นฐานของความปลอดภัย”
โดยในปีที่ผ่านมา เดลล์ส่งมอบพีซีไปทั่วโลกถึง 59.3 ล้านเครื่อง เติบโตถึง 18% และคาดว่าในปีนี้จะสามารถรักษาการเติบโตได้ต่อไปในปีนี้ และจากความสำเร็จดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของเดลล์ เพื่อพัฒนาพีซีให้มอบประสบการณ์ทำงานที่ดีขึ้น ปรับให้เหมาะสมกับผู้ใช้และองค์กร รวมถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงเพื่อให้เกิดการทำงานสูงที่สุด
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เดลล์สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มองค์กรธุรกิจได้คือโซลูชัน Dell Optimizer ที่มีความสามารถในการจัดการคอมพิวเตอร์แบบแยกส่วน ทำให้ผู้ใช้ และผู้ดูแลระบบไอทีสามารถเลือกติดตั้งคุณสมบัติที่ต้องการเพื่อให้รองรับการทำงานในองค์กรธุรกิจได้อย่างสมบูรณ์
“Dell Optimizer จะมีการนำ AI เข้าไปช่วยเรียนรู้ จดจำการใช้งานของผู้ใช้ เพื่อนำเสนอประสบการณ์ใช้งานเฉพาะบุคคล ช่วยจัดการพลังงาน รวมถึงมีการอัปเดตให้ครอบคลุมในเรื่องของความเป็นส่วนตัว ทั้งการปกปิดข้อมูลละเอียดอ่อนบนหน้าจอ ปรับความสามารถในการเชื่อมต่อให้รองรับทั้งการเชื่อมต่อแบบมีสาย และไร้สายพร้อมกัน สุดท้ายคือการทำงานร่วมกัน ที่พัฒนาระบบตัดเสียงรบกวนให้รองรับการประชุมทางไกลได้ดีขึ้น”
***อัปเดตพีซีธุรกิจยุคใหม่ เน้นพกพาทำงานได้ทุกที่
สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กสำหรับองค์กรธุรกิจที่เดลล์ได้ปรับปรุงขึ้นใหม่ในปีนี้จะมีครอบคลุมทั้งในกลุ่มโน้ตบุ๊กบางเบาสำหรับผู้บริหารระดับสูง จนถึงในกลุ่มของพนักงานทั่วไปใช้งานในองค์กรที่ได้รับความสามารถของหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ 12 Gen Intel Core มาช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น และช่วยประหยัดพลังงานมากขึ้นด้วย
เริ่มต้นที่ Latitude 9430 ซึ่งนับเป็นซีรีส์ท็อปที่สุดในกลุ่ม Latitude ด้วยการนำเสนอโน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว สำหรับธุรกิจที่เล็กที่สุดในโลก ด้วยอัตราส่วนตัวเครื่อง 16:10 ทำให้จอแสดงผลมีขนาดใหญ่ในตัวเครื่องขนาดที่พกพาได้ง่าย
พร้อมกันนี้ เพื่อตอบโจทย์การทำงานของระดับผู้บริหารได้มีการเพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อที่รองรับทั้ง 5G และ WiFi 6E เข้ามาทำให้สามารถใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา รวมถึงปรับปรุงกล้องวิดีโอคอลล์ให้เป็นระดับ FHD IR มีการนำ AI มาช่วยปรับปรุงภาพให้คมชัดขึ้นด้วย
ตามมาด้วย Latitude 7330 Ultralight ที่มีจุดเด่นเรื่องน้ำหนักต่ำกว่า 1 กิโลกรัม ในขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้ว และใช้วัสดุที่แข็งแรงทนทาน ส่วนในรุ่น Latitude 7000 ซีรีส์ และ Latitude 5000 ซีรีส์จะเพิ่มฟอร์มแฟกเตอร์ในแบบ 2-1 มากขึ้นเปิดโอกาสให้องค์กรธุรกิจสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการในการใช้งาน
ส่วนในกลุ่มของเวิร์กสเตชันได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ในไลน์ Precision ที่ปรับให้เบาและบางลงแต่ยังได้ประสิทธิภาพระดับสูง ทั้งรองรับชิปเซ็ตการประมวลผลระดับ 12 Gen Intel Core i9 รองรับกราฟิกการ์ดระดับ NVIDIA RTX A1000 ขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว รวมถึงผลิตภัณฑ์ในกลุ่มจอมอนิเตอร์ที่ให้ขนาดและความละเอียดที่ดีขึ้น อย่าง Dell UltraSharp 27 และ 32 4K ที่เชื่อมต่อผ่านสาย USB-C เพียงเส้นเดียว
นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานทั้ง Dual Charge Dock ที่เชื่อมต่อเป็นพอร์ตเสริมสำหรับโน้ตบุ๊ก ที่รองรับไวร์เลสชาร์จสำหรับสมาร์ทโฟน ตามด้วย Dell Universal Dock ที่ช่วยให้รองรับการเชื่อมต่อได้หลากหลายขึ้น และ Dell Thunderbolt Dock เพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อความเร็วสูง หรือจอมอนิเตอร์ความละเอียดสูง
พร้อมเพิ่มโซลูชันทางด้านเสียงด้วยลำโพงสำหรับการประชุมสนทนาที่รองรับ Microsoft Teams แบบเต็มรูปแบบ รวมถึงนำเสนอ Soundbar สำหรับการประชุมในห้องขนาดใหญ่ที่ให้เสียงคมชัด และมากับระบบตัดเสียงรบกวนด้วย AI
“โดยรวมเมื่อเห็นจากไลน์อัปผลิตภัณฑ์ของเดลล์แล้ว จะเห็นได้ว่าไม่ได้เน้นเฉพาะในเรื่องของความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่เน้นในเรื่องของการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้หลากหลายขึ้น”