ปัจจุบัน องค์กรบริษัทใหญ่มีปริมาณข้อมูลที่ใช้งานมากขึ้น แต่ไม่สามารถประมาณการความต้องการล่วงหน้าได้ จึงทำให้ศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ของบริษัทกลายเป็นระดับไฮเปอร์สเกล ที่ให้พลังประมวลผลอย่างมหาศาล แต่มักลดคุณสมบัติการทำงานด้านความปลอดภัยลงเพื่อให้ประมวลผลได้เร็ว ฟอร์ติเน็ตจึงเปิดตัวไฟร์วอลล์ระดับไฮเปอร์สเกลตัวแรกของโลก “FortiGate 4400F” โดยระบุว่าสามารถมอบประสิทธิภาพที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะเร็วกว่าและดีกว่าผลิตภัณฑ์ที่เทียบเคียงมากถึง 13 เท่า เป็นไฟร์วอลล์สำหรับเครือข่ายเพียงตัวเดียวที่สามารถรักษาความปลอดภัยศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ และเหมาะกับเครือข่าย 5G
จอห์น แมดิสัน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และรองประธานอาวุโส ฝ่ายผลิตภัณฑ์แห่งฟอร์ติเน็ต กล่าวว่า ฟอร์ติเน็ตยังคงผลักดันการผสมผสานศักยภาพของความปลอดภัยและเครือข่ายที่เราเรียกกันว่า Security-driven Networking โดยผลงานการพัฒนา FortiGate 4400F Network Firewall นี้สามารถมอบประสิทธิภาพที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งดีกว่าผลิตภัณฑ์ที่เทียบเคียงมากถึง 13 เท่า โดยฟอร์ติเน็ตได้พัฒนา FortiGate 4400F ที่มาพร้อมโปรเซสเซอร์เครือข่าย NP7 กุญแจสำคัญที่ช่วยเร่งความเร็วการทำงานของฮาร์ดแวร์ในด้านความปลอดภัยต่างๆ ส่งให้เป็นอุปกรณ์แบบรวมเบ็ดเสร็จรุ่นแรกที่มีประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยและขนาดที่สอดคล้องต่อการเติบโตของศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกลในปัจจุบัน
สำหรับ FortiGate 4400F รองรับกรณีการใช้งานได้ดีในธุรกิจ e-Retail ที่มีทราฟฟิกมาก เพราะช่วยให้ธุรกิจ e-Retail ที่มีการรับ-ส่งข้อมูลขนาดมหาศาลจากการทำธุรกรรมออนไลน์ สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าโดยรองรับการเชื่อมต่อหลายสิบล้านครั้งต่อวินาที ให้การรักษาความปลอดภัยระดับเลเยอร์ 4 ที่จำเป็น และป้องกันการโจมตี DDoSนอกจากนี้ ยังงานวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ๋ ที่รองรับงานวิเคราะห์ข้อมูลสมัยใหม่ รวมถึงการปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมประเภท เช่น อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ ที่มีการถ่ายโอนชุดข้อมูลขนาดใหญ่ที่ชาวไอทีเรียกกันว่า “Elephant flows” ได้สูงสุดถึง 100Gbps ทั้งนี้ ในสถานการณ์ที่ต้องการการเข้ารหัสด้วยความเร็วสูง สามารถใช้ IPsec รองรับการข้อมูลทางอุโมงค์ IPsec ที่มีแบนด์วิดท์สูงได้
FortiGate 4400F ยังเหมาะกับสถาบันการเงิน ผู้ให้บริการคลาวด์และองค์กรเอ็นเตอร์ไพรส์ขนาดใหญ่ เพราะช่วยให้องค์กรเปิดบริการในรูปแบบที่คล่องตัวและปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเพิ่มผลผลิตและรายได้ตามที่องค์กรต้องการ ทั้งนี้ ด้วยเทคนิคการแบ่งกลุ่มตาม VXLAN ทำให้ FortiGate 4400F ให้การสื่อสารที่รวดเร็วขึ้นมากระหว่างกลุ่มบริการที่มีการปรับขนาดบ่อยครั้งอยู่เสมอ (เช่น การประมวลผล สตอเรจพื้นที่จัดเก็บ หรือแอปพลิเคชันต่างๆ) ที่โฮสต์ร่วมกันบนโดเมนจริงและเสมือน ทั้งนี้ FortiGate 4400F ใช้การรักษาความปลอดภัยชั้น 4 ที่จำเป็นหรือการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงระดับ 7 ในการปกป้องกลุ่มขนาดใหญ่เหล่านี้
สำหรับเครือข่าย 5G ฟอร์ติเน็ตมองว่าจะต้องใช้ระบบความปลอดภัยที่สามารถปรับขนาดได้ เพราะโลกแบบ Hyperconnected ในปัจจุบันที่มีการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับอุปกรณ์ และอุปกรณ์ต่ออุปกรณ์ ซึ่งทำให้ต้องการความปลอดภัยในปริมาณที่มาก โดยเฉพาะในช่วงการปรับเปลี่ยนจาก 4G ไปเป็น 5G จะมีความต้องการเหล่านี้มากและหลากหลายมากยิ่งขึ้นเนื่องจากทีมปฏิบัติการเครือข่ายต้องมั่นใจทั้งในแง่ความปลอดภัยและความต่อเนื่องทางธุรกิจในพร้อมๆ กัน โซลูชันส่วนใหญ่จะไม่สามารถรองรับปัญหาความขาดแคลน IPv4 address รวมทั้งความต้องการใช้แบนด์วิดท์ของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มจำนวนของอุโมงค์ที่ถูกเข้ารหัสซึ่งเชื่อมต่อไปยังโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งส่งผลให้ผู้ให้บริการไม่สามารถรองรับลูกค้าจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว
FortiGate 4400F สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ด้วยการแปลงที่อยู่เครือข่ายในระดับผู้ให้บริการ (Carrier-grade network address translation : CGNAT) เพื่อใช้งานเครือข่ายการจัดส่งแพกเกจความเร็วสูง (Packet Delivery Network : PDN) ในขณะที่ยังให้ประสบการณ์ของผู้ใช้ที่รวดเร็วด้วยอัตราการสร้างเซสชันของผู้ใช้งานที่มีความเร็วสูง มีค่าความหน่วงต่ำ และสามารถบันทึกช่วยสำหรับการตรวจสอบและควบคุมโดยใช้ฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม ร่วมกับการขยายสเกลของ Security Gateway (SecGW) ที่มีอยู่ในเครือข่ายเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 4G และ 5G เพื่อควบคุมส่วน Radio Access Network (RAN) ซึ่งจะช่วยผู้ให้บริการสามารถสร้างเครือข่ายที่รองรับปริมาณข้อมูลขนาดใหญ่ได้ตามต้องการ ซึ่งจะเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนได้สูงสุด โดยที่ยังรองรับบริการเสริมมูลค่าเพิ่มใหม่ๆ ที่ผู้ให้บริการสร้างขึ้นมาเพื่อเพิ่มความแตกต่างของข้อเสนอให้แก่ลูกค้าของตนเอง เช่น บริการควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ตของเด็กๆ ด้วยเทคโนโลยีการกรอง URL
สรุปแล้ว FortiGate 4400F เป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์มความปลอดภัยแบบบูรณาการผ่านซิเคียวริตีแฟบริค สามารถป้องกันจากการโจมตีจากภัยที่รู้จักแล้วด้วยบริการ FortiGuard Labs ที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ รวมถึงบริการระบบกรองเว็บและระบบป้องกันการบุกรุก ขณะเดียวกัน ก็ตรวจจับภัยคุกคามเชิงรุกใน Segmentation ที่ลูกค้าวางแผนไว้ พร้อมศักยภาพดีกว่าถึง 2 เท่าในตาราง Security Compute Rating และมองเห็นภัยคุกคามอย่างสมบูรณ์และขจัดจุดบอดด้วยการตรวจสอบ SSL Inspection รวมถึง TLS 1.3 ที่ดีกว่าผลิตภัณฑ์คู่แข่ง 6.5 เท่า ทำให้สามารถปกป้องแอปพลิเคชันและเซิร์ฟเวอร์ที่สำคัญทางธุรกิจด้วยการใช้แพทช์เสมือนโดยใช้ IPS รวมและให้ประสิทธิภาพสูง