ดีแทคเสนอ กสทช. เลื่อนประมูล เพื่อรอคลื่น 3500 MHz ประมูล 5G พร้อมกัน เหตุการใช้งานใกล้เคียง 2600 MHz แต่มีอุปกรณ์ใช้งานมากกว่า ราคาถูกกว่า ขณะที่คลื่น 2600 MHz ราคาเริ่มต้นการประมูลสูงกว่าประเทศอื่น และควรกำหนดเพดานการถือครองคลื่นตามจำนวนผู้เข้าร่วมประมูล เพื่อให้ได้ใช้คลื่นทั่วถึง
นายมาร์คุส แอดอัคทูสเซ่น รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มกิจการองค์กร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า ดีแทคสนับสนุนการประมูลคลื่นแบบหลายย่านความถี่พร้อมกัน (Multiband auction) แต่เสนอให้ปรับช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อนำคลื่น 3500 MHz จำนวน 300 MHz มาร่วมประมูลพร้อมกัน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำมาวางแผนเพื่อประโยชน์ในการให้บริการได้สูงสุดในการพัฒนา 5G อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้ดีแทคสามารถตัดสินใจเข้าร่วมประมูลได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ ในการเข้ารับฟังความคิดเห็นสาธารณะต่อร่างประกาศ กสทช.เรื่อง หลักเกณฑ์การอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ ย่าน 700 MHz 1800 MHz 2600 MHz และ 26 GHz ดีแทคจะยื่นข้อเสนอแนะต่อสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ดังต่อไปนี้
1.การจัดสรรคลื่นความถี่เพื่อนำออกประมูล กำหนดห้วงเวลาการประมูลใหม่ เพื่อรอความชัดเจนคลื่นความถี่ย่าน 3500 MHz เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G ซึ่งดีแทคเห็นด้วยอย่างยิ่งต่อการประมูลแบบหลายย่านความถี่พร้อมกัน (Multiband auction) ซึ่งในทางเทคนิค คลื่นความถี่ย่าน 2600 และ 3500 MHz มีคุณสมบัติที่ทดแทนกันได้ และในหลักปฏิบัติสากล จะมีการนำคลื่นย่านความถี่กลาง (Mid-band) ทั้งสองย่านดังกล่าวมาจัดสรรพร้อมกัน เพื่อป้องกันในกรณีที่เผชิญความขาดแคลนของจำนวนคลื่น
ดังนั้น คลื่นความถี่ย่าน 3500 MHz จึงเป็นตัวแปรสำคัญของผู้เข้าประมูลในการพิจารณา เพื่อนำไปพัฒนาในเชิงเทคโนโลยีสำหรับ 5G ในจังหวะเวลาที่ถูกต้อง
2.กำหนดเพดานการถือครองจำนวนคลื่น 2600 MHz เพื่อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ในการประมูลเพื่อจัดสรรคลื่นความถี่ย่าน 2600 MHz ที่มีการกำหนดการถือครอง 190 MHz นั้น ดีแทคเห็นว่าควรมีการกำหนดเพดานในการถือครองเพื่อป้องกันการบิดเบือนของตลาดและกระจายการถือครองของผู้ให้บริการ ทั้งนี้ กสทช. อาจพิจารณาออกหลักเกณฑ์การถือครองจำนวนคลื่นจากจำนวนผู้เข้าประมูล ตัวอย่างเช่น เพดานการถือครองที่ 60 MHz สำหรับการประมูลที่มีผู้เข้าร่วมประมูลมากกว่า 3 ราย, 80 MHz สำหรับการประมูลที่มีผู้เข้าร่วมประมูล 3 ราย และ 100 MHz สำหรับการประมูลที่มีผู้เข้าร่วมประมูล 2 ราย
3.ความชัดเจนในการจัดการการรบกวนของคลื่นความถี่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลื่น 2600 MHz) ที่ปัจจุบัน พบว่าคลื่น 2600 MHz มีการใช้งานอยู่ 20 MHz ดังนั้น กสทช. จึงควรให้ความชัดเจนถึงแนวทางในการจัดการถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการรบกวนกันของคลื่นความถี่และข้อกำหนดในการใช้งาน เพื่อให้ผู้เข้าประมูลสามารถประเมินมูลค่าที่เหมาะสมในการลงทุน
การกำหนดราคาคลื่นความถี่
และ 4.การกำหนดราคาเริ่มต้นของการประมูลคลื่นความถี่ที่สูงเกินไป ซึ่งจากร่างประกาศการประมูล กำหนดให้คลื่น 2600 MHz มีราคาเริ่มต้นที่ 1,862 ล้านบาทต่อ 1 ใบอนุญาต (10 MHz) ซึ่งเป็นราคาสูงกว่าค่ากลางของสากล ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายโครงข่าย ขณะที่คลื่น 1800 MHz ซึ่งมีราคาเริ่มต้นการประมูลที่ 12,486 ล้านบาทต่อ 1 ใบอนุญาต มีราคาสูงกว่าราคาสุดท้ายในการประมูลของประเทศอื่นๆ หลายเท่าตัว ซึ่งอาจทำให้เกิดความล้มเหลวในการประมูลได้ โดยข้อมูลจากสมาคมจีเอสเอ็ม ระบุว่า ราคาเริ่มต้นการประมูลคลื่น 1800 MHz ในปี 2561 และ 2563 มีราคาสูงกว่าตลาดโลกอย่างมาก
นายมาร์คุส กล่าวว่า เพื่อให้วาระการขับเคลื่อนเทคโนโลยี 5G ประสบความสำเร็จ รัฐบาลควรแสดงบทบาทในการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐเอกชน ตัวอย่างเช่น โครงการเมืองอัจฉริยะ (Smart city) การใช้เทคโนโลยี 5G ในการบริการสาธารณะและภาคการผลิต ซึ่งจะก่อให้เกิดการใช้เทคโนโลยี 5G อย่างแท้จริงและแพร่หลายในอนาคต เพราะการทำให้ 5G เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่เพียงบทบาทของผู้ประกอบการโทรคมนาคมเท่านั้น
แต่ต้องอาศัยความร่วมมือการขับเคลื่อนของทุกภาคส่วนในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรกำกับดูแลและผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน ผู้ประกอบการโทรคมนาคมจะยังไม่ได้รับประโยชน์จากการครอบครองคลื่นความถี่สำหรับเทคโนโลยี 5G โดยการใช้งานจริง (use case) ยังต้องได้รับการพัฒนาและคำนึงถึงโมเดลในการหารายได้ที่ยังคงไม่มีความชัดเจน ภาครัฐจึงมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในเชิงกลยุทธ์ที่จะกระตุ้นการลงทุนเชิงโครงสร้าง ความร่วมมือจากหลากหลายอุตสาหกรรมที่จะร่วมกันขับเคลื่อนสู่เทคโนโลยี 5G