สภาดิจิทัล ร่วมกับ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดตั้งคณะทำงานปฏิรูปเศรษฐกิจและการค้า ตั้งเป้าผลักดันการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นดิจิทัลของภาคธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทย
นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย หรือ สภาดิจิทัล เปิดเผยในการประชุมหารือความร่วมมือระหว่างสภาดิจิทัล ,หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ว่า ภายในปี 2562 จะมีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อพัฒนาโครงการและงานอีเว้นท์สำหรับปฏิรูปเศรษฐกิจและการค้า โดยตั้งเป้าที่จะร่วมกันจัดกิจกรรมหรือร่วมโครงการเพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นดิจิทัลของภาคธุรกิจต่างๆ ในประเทศไทย และจัดให้มีการพบปะกันอย่างสม่ำเสมอและอัปเดททิศทางการพัฒนาของแต่ละสภา รวมถึงการสร้างพันธมิตรกับภาคเอกชน
ความร่วมมือดังกล่าวเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศ อาทิ การพัฒนาสินค้าและบริการด้านดิจิทัลต่างๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจในประเทศ ผ่านการร่วมมือกับสภาหอการค้า ส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรม ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ ในอุตสาหกรรมดิจิทัล, การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เช่น เข้าร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ เพื่อปรับแผนการเรียนการสอนที่สอดรับกับความต้องการในตลาด และร่วมกับสภาหอการค้าขอการรับรองอย่างเป็นทางการสำหรับหลักสูตรการเรียนนอกห้องเรียน, การสร้างโอกาสความเสมอภาคทางสังคม ผลักดันให้เกิดศูนย์ข้อมูลแบบเสรี และการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยตั้งศูนย์วิจัย และสร้างแพลตฟอร์มในการวัดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้เทคโนโลยีต่างๆ
ทั้งนี้ เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถช่วยลดความท้าทาย อาทิ ปัญหากับดักรายได้ปานกลาง, ศักยภาพในการแข่งขันที่ล้าหลัง โดยไทยอยู่ในอันดับที่ 40 ขณะที่ ประเทศสิงคโปร์อยู่อันดับที่ 1 และมาเลเซีย อันดับที่ 27, การปรับตัวด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ, ความเหลื่อมล้ำในสังคม, แรงงานทักษะต่ำ และ ปัญหาภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งจากดัชนีความปลอดภัยของประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 35
นายศุภชัย กล่าวว่า จากการประเมินศักยภาพทางการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศ ปี 2562 พบว่า ไทย อยู่ในอันดับที่ 40 จากทั้งหมด 63 ประเทศ ขณะที่ ปีก่อนอยู่ในอันดับที่ 39 โดยประเมินจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. ความรู้เกี่ยวกับดิจิทัลและเทคโนโลยี 2.เฟรมเวิร์คทางเทคโนโลยี เงินทุน และกฎหมาย และ 3.วิสัยทัศน์ และความคล่องตัวของธุรกิจ รวมถึงทรัพยากรมนุษย์เพื่อการปรับตัวสู่อนาคต
'ด้านองค์ความรู้ของไทย อยู่ในอันดับที่ 43 จากปี 2561 ที่อยู่ในอันดับที่ 44 ขณะที่ เทคโนโลยี การเงิน และกฎหมาย อยู่ในอันดับ 27 จากปีก่อน อันดับ 28 และความพร้อมสำหรับอนาคต ปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 50 จากปีก่อนอยู่อันดับที่ 49' นายศุภชัย กล่าว