ไม่ใช่แค่บริษัทผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกต่อไป เมื่อ “แอลจี” ยกระดับองค์กร ด้วยการลงทุนใน AI ในชื่อ “LG ThinQ AI” ให้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยเชื่อมผลิตภัณฑ์ที่รองรับ IoT เข้ากับผู้บริโภค บนพื้นฐานของการช่วยให้ชีวิตดีขึ้น
เซิง เชิล ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงทิศทางของแอลจี ที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เริ่มนำ AI มาเป็นเทคโนโลยีหลักเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการต่าง ๆ ทำให้ภายในองค์กรเริ่มมีการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยธุรกิจมากขึ้น และช่วยทำให้บริษัทสามารถนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาให้ผู้บริโภคใช้งานได้เร็วขึ้น
'เทรนด์ที่เกิดขึ้นในธุรกิจไอทีตอนนี้ คือ แบรนด์ที่เข้าถึงดาต้า มีข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้เปรียบในการแข่งขัน ดังนั้น แอลจี จึงได้เริ่มนำ AI มาใช้งานร่วมกับ Big Data ในชื่อของ Big i ที่จะช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้งานสินค้าของแอลจีด้วย'
จุดเด่นสำคัญของแอลจี ในการก้าวเข้าสู่ AI คือ การทำงานในระบบเปิด ด้วยการเข้าไปจับมือกับกูเกิล ในการนำ Google Assistant และอเมซอน ในการนำ Alexa มาให้บริการภายในแพลตฟอร์ม ThinQ AI ทำให้ผู้บริโภคสามารถสั่งงานด้วยระบบเสียงได้ทันที
อย่างไรก็ตาม เซิง เชิล ลี ยังมองว่า ปัจจัยเรื่องของภาษา ยังเป็นกำแพงสำคัญสำหรับผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงบริการเหล่านี้ได้ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ทางกูเกิลรองรับการสั่งงานระบบ IoT ด้วยภาษาไทย เชื่อว่าจะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญให้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า และทีวี เติบโตมากขึ้น
***เบอร์ 1 ไม่สำคัญเท่าอยู่คู่กับคนไทย
ที่ผ่านมา แอลจี พยามตั้งเป้าหมายหลัก ในการขึ้นเป็นผู้นำในทุก ๆ ตลาดที่มีสินค้าเข้าไปจำหน่าย แต่ปัจจุบัน แอลจี มองว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดอีกต่อไป และพยามปรับแนวทางการทำตลาดมาเป็นการที่จะอยู่เคียงข้างกับผู้บริโภคมากกว่า
“แนวคิดของแอลจีในปัจจุบันคือการรับฟังเสียงของลูกค้า เพื่อที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้าไปตอบโจทย์การใช้งานให้ได้มากที่สุด การขยับขึ้นมาเป็นองค์กรที่ใช้ AI นำ จะกลายเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะช่วยให้แอลจี อยู่คู่กับคนไทยต่อไป”
ขณะเดียวกัน มองว่าประเทศไทย กำลังเริ่มเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเกาหลี และญี่ปุ่นแล้ว ทางแอลจี ก็มีประสบการณ์ที่จะนำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยให้ผู้สูงอายุ สามารถใช้ชีวิตได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
***เพิ่มเม็ดเงินลงทุน ให้ความรู้ AI
สำหรับเป้าหมายของการกลับมารับตำแหน่งเอ็มดี แอลจี ประเทศไทย เป็นครั้งที่ 2 ของ เซิง เชิล ลี หลังจากที่ต้องตระเวนไปดูแลประเทศอื่นๆในภูมิภาค คือการเข้ามาสื่อสารให้ผู้บริโภครับรู้ถึงแอลจีมากขึ้น รวมถึงในมุมที่ว่าจะทำอย่างไรให้แอลจีสามารถเติบโตไปคู่กับคนไทยได้
นอกจากนี้ จะได้เห็นเม็ดเงินลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังแน่นอน โดยจะเน้นการนำเงินลงทุนมาเพื่อสื่อสารกับลูกค้าในการสร้างแบรนด์ ด้วยการนำเทคโนโลยีอย่าง OLED มาร่วมกับพันธมิตร ในการนำไปใช้งานตามสถานที่สำคัญในไทย ให้กลายเป็นอีกแลนด์มาร์กในประเทศ
รวมถึงการปูพื้นฐานความรู้ระบบ AI อย่าง LG ThinQ AI ให้ผู้บริโภครับรู้เกี่ยวกับการใช้งานอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ มากขึ้น โดยจะเริ่มจากการแนะนำระบบ Smart ThinQ ที่เพิ่งเริ่มวางจำหน่ายในไทยไปช่วงปลายไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ซึ่งใช้พื้นฐานของการใช้แอปพลิเคชันในการควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้า
ก่อนที่จะเริ่มแนะนำ ThinQ AI ให้มาช่วยสั่งงานในช่วงปลายไตรมาส 2 ซึ่งจะเป็นช่วงเดียวกับที่นำสมาร์ททีวีรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาด และจะกลายเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ซึ่งอุปกรณ์อื่นๆที่รองรับการใช้งาน AI จะทยอยเข้ามาทำตลาดต่อไป
***ผลิตภัณฑ์ไลน์อัปใหม่ ทยอยเข้าช่วงครึ่งปีหลัง
นายนิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลถึงเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ที่จะทยอยเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย โดยจะเริ่มจากในช่วงเดือนมิถุนายน ซึ่งถือเป็นจังหวะที่ดีของการนำสมาร์ททีวีรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาด
“อย่างที่รู้กันว่าช่วงกลางปีนี้จะมีการแข่งขันฟุตบอลโลก ซึ่งปกติในปีที่มีการแข่งขันฟุตบอลโลกอัตราการเติบโตของโทรทัศน์ในช่วงดังกล่าวจะพุ่งสูงขึ้นถึง 30% ซึ่งทางแอลจีถือว่าโชคดี เพราะเป็นช่วงที่มีสมาร์ททีวีรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาด ขณะเดียวกัน ก็สามารถนำรุ่นเดิมมาทำโปรโมชันราคาพิเศษได้ทันที”
โดยไลน์อัปสมาร์ททีวีรุ่นใหม่ของแอลจีในปีนี้ จะเพิ่มความสามารถของ LG ThinQ AI เข้าไป ซึ่งในจุดนี้ทางแอลจี จะทำงานร่วมกับกูเกิล ในการนำระบบ Google Assistant มาช่วยในการสั่งงานด้วยเสียง ที่คาดว่าจะรองรับภาษาไทยเร็ว ๆ นี้
เมื่อมีสมาร์ททีวี เป็นศูนย์กลางในการสั่งงาน เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ อย่างแอร์อัจฉริยะในระบบ Dualcool Inverter ตู้เย็น InstaView ที่สามารถเคาะเพื่อดูของที่อยู่ภายในรุ่นใหม่ของปีนี้จะเพิ่มมาในรูปแบบของตู้เย็น 4 ประตู และเครื่องซักผ้า TwinWash ก็จะทยอยเข้ามาทำตลาดต่อไปในอนาคต
***ตลาดมือถือแข่งขันสูงเกินไป
เซิง เชิล ลี กล่าวถึงโอกาสของการนำธุรกิจสมาร์ทโฟนเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอีกครั้งว่า อาจจะยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมมากนัก เพราะปัจจุบันในส่วนของธุรกิจสมาร์ทโฟนยังไม่มีจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยีที่น่าสนใจ ทุกแบรนด์ต่างหันมาแข็งขันกันในเรื่องของราคา มากกว่าการนำเสนอเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม แอลจี ก็ยังไม่ได้ปิดโอกาสที่จะนำสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่เข้ามาจำหน่ายเสียทีเดียว เพราะในอนาคตถ้ามีผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และคิดว่าจะมาช่วยให้ชีวิตของผู้บริโภคสะดวกขึ้นตามแนวคิดของแอลจี ก็เป็นไปได้ที่จะนำกลับเข้ามาทำตลาดอีกครั้ง
***ขนนวัตกรรม AI ผสาน IoT โชว์ใน InnoFest 2018
หนึ่งในงานจัดแสดงนวัตกรรมที่สำคัญในภูมิภาคนี้ของแอลจี ที่จัดเป็นประจำทุกปี คือ LG InnoFest Asia 2018 ซึ่งในปีนี้จะเน้นไปที่การนำระบบ AI ที่เรียกว่า ThinQ เข้ามาใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน โดยใช้จุดเด่นหลักของแอลจี คือ เป็นการนำ AI มาใช้ในระบบเปิด (Open Ecosystem) ทำให้ผู้ใช้นอกจากจะเลือกสั่งงานผ่านระบบ Cloi ซึ่งเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่ทางแอลจีพัฒนาขึ้นมาในรูปแบบของลำโพงอัจฉริยะที่ใช้พูดคุย และสั่งงานด้วยเสียงแล้ว ยังสามารถใช้งานร่วมกับ Google Assistant และ Alexa ได้
ถัดมาคือด้วยการที่เปิดให้ระบบ AI สามารถเข้าถึงการเชื่อมต่อได้ ทำให้สามารถใช้ผู้ช่วยอัจฉริยะเหล่านี้สั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นสั่งให้เปิดเครื่องปรับอากาศ สั่งตู้เย็นให้ทำน้ำแข็ง สั่งให้ลำโพงที่เชื่อมต่อภายในบ้านเปิดเพลง หรือพูดประโยคต่าง ๆ ได้
นอกจากนี้ ยังสามารถใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในการตรวจสอบสภาพอากาศ ค้นหาข้อมูล วิดีโอ รูปภาพผ่านสมาร์ททีวี หรือในอุปกรณ์ที่เป็นเครื่องครัว ก็สามารถใช้ค้นหาสูตรอาหาร แล้วสั่งเตาอบให้ตั้งค่าตามสูตรเหล่านั้น
ส่วนของเครื่องซักผ้า ก็สามารถสั่งงานล่วงหน้าผ่านอินเทอร์เน็ตได้ เช่นเดียวกับเครื่องดูดฝุ่นอัจฉริยะที่สามารถตั้งให้ทำงานเมื่อออกจากบ้าน โดยระบบจะทำงานแบบอัตโนมัติตามที่ตั้งค่าไว้
ขณะเดียวกัน LG ThinQ จะมีการเรียนรู้ผู้ใช้ เช่น การปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เหมือนที่เคยสั่งงานครั้งก่อน แจ้งตารางนัดหมายเฉพาะรายบุคคล จากการวิเคราะห์เสียงเพื่อระบุตัวตน เลือกฟังเพลงจากเพลย์ลิสต์ส่วนตัว
*** “LG Science Park” ซิลิคอนวัลเลย์ ในเกาหลี
ในแง่ของการลงทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาล่าสุดของแอลจี คือ การเปิด “LG Science Park” ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยฯ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของทางแอลจี ที่สามารถรองรับพนักงานได้กว่า 25,000 คน ซึ่งภายในศูนย์วิจัยดังกล่าว จะมีส่วนที่ใช้จัดแสดงผลิตภัณฑ์คอนเซ็ปต์ในอนาคต
ทางแอลจี ได้แสดงให้เห็นว่า ด้วยชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่แอลจีผลิตขึ้น แอลจีสามารถกระโดดเข้าไปเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่ายได้ทันที เพราะมีทั้งส่วนของธุรกิจที่ผลิตแบตเตอรีไฟฟ้า หน้าจอแสดงผลต่าง ๆ ครบครัน เพียงแต่แอลจี เลือกที่จะทำงานต่อไปในฐานะของการเป็นซัปพลายเออร์ให้ลูกค้า หรือแบรนด์รถยนต์ที่สนใจ สามารถสั่งผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้งานได้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับอุตสาหกรรมรถยนต์มากกว่าการครองสิทธิบัตรเหล่านี้ไว้เพียงรายเดียว
นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมความพร้อมที่จะรองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อ 5G ในอนาคต ด้วยการจัดแสดงโซลูชันที่เกี่ยวเนื่องกับการนำคลาวด์มาใช้งาน เพื่อควบคุมผลิตภัณฑ์ IoT ในยุค 5G ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2020 ด้วย