xs
xsm
sm
md
lg

ส่องเทคโนโลยี JD.com ช่วยเซ็นทรัลลุยโลกออนไลน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


บนความเชื่อมั่นของลูกค้าที่การันตีว่าจะได้ของแท้ 100% เมื่อสั่งสินค้าผ่านทาง JD.com กลายเป็นหลักสำคัญในการทำธุรกิจรีเทลยุคใหม่ ที่ต้องผสมผสานเทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมให้ทั้งธุรกิจออนไลน์ และออฟไลน์ไปด้วยกัน จนได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ในประเทศจีน

เมื่อดูถึงเทคโนโลยีเบื้องหลังที่นำมาใช้งานแล้ว อาจทำให้เห็นว่า จริงๆ แล้ว JD ไม่ได้เป็นแค่ผู้นำในธุรกิจรีเทล แต่ถือเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีนเลยก็ว่าได้ เพราะมีการนำทั้ง AI มาช่วยในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค ไปจนถึงใช้บล็อกเชน มานำเสนอรายละเอียดของสินค้าทางการเกษตร

เฉิน จาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยี เจดี ดอท คอม กล่าวถึงแนวคิดในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อนำมาใช้งานในธุรกิจรีเทลของ JD ว่า เกิดขึ้นจากความต้องการในการพัฒนาบริการให้ดีขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าที่หลากหลาย และมีคุณภาพ

จุดสำคัญที่ JD ประสบความสำเร็จในธุรกิจรีเทล คือ เรื่องของความเชื่อมั่นจากลูกค้าที่มั่นใจว่าจะได้ของแท้ 100% และมีคุณภาพสูง โดยเบื้องหลังเกิดจากการบริหารจัดการคลังสินค้าที่มีขนาดใหญ่ พร้อมกับระบบลอจิสติกส์ที่ครอบคลุมช่วยให้การจัดส่งสินค้าทำได้รวดเร็วที่สุด

สิ่งที่ทำให้ JD สามารถพัฒนาบริการเหล่านี้ได้ เกิดขึ้นจากการนำข้อมูลมาประมวลผล ทั้งจากการนำ AI มาใช้งาน ร่วมกับ Machine Learning ทั้งในฝั่งของลูกค้าที่ต้องการสั่งซื้อสินค้า และฝั่งของพันธมิตรทางธุรกิจทั้งการคำนวนการจัดเก็บสินค้า คำนวนเส้นทางในการจัดส่ง

***โดรน รถบรรทุก เครื่องบิน ไร้คนขับ

ในแง่ของเทคโนโลยีด้านการขนส่ง (Smart Logistics) ในช่วงปีที่ผ่านมา ทาง JD มีการนำอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) มาใช้งานในการจัดส่งสินค้า โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล หรือตามภูเขาที่ถ้าใช้เส้นทางตามปกติจะใช้ระยะเวลานานหลายชั่วโมง แต่เมื่อใช้โดรนจะช่วยย่นระยะเวลาเหลือไม่กี่นาที

ไม่นับรวมกับเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาอยู่จากทีมในซิลิคอนวัลเลย์ อย่างรถบรรทุกไร้คนขับ (Level-4 Autonomous Truck) ที่ทดสอบใช้จริงแล้วกว่า 2,400 ชั่วโมง โดยคาดว่าจะนำมาใช้งานได้ภายในปี 2020 เพื่อใช้ในระบบขนส่งระหว่างภูมิภาค และเมืองต่างๆ บนเส้นทางหลวงเป็นหลัก

รวมถึงเครื่องบินไร้คนขับ (JDY800 Heavy-Loaded Drone) ที่สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ 840 กิโลกรัม ที่จะเริ่มนำมาทดสอบใช้งานในช่วงงานเฉลิมฉลองวันครบรอบ 18 มิถุนายน ของทาง JD และคาดว่าจะนำมาให้บริการได้ในปี 2020 เช่นเดียวกัน โดยจะนำไปใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่างศูนย์ลอจิสติกส์ต่างๆ และเพื่อการจัดส่งสินค้าทางการเกษตรจากชนบทเข้าสู่ตัวเมือง

ทำให้ปัจจุบัน ลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้าผ่านทาง JD.com กว่า 90% จะได้รับสินค้าไม่เกินวันถัดไป ไม่นับรวมกับการสั่งซื้ออาหารสดจากทางร้าน 7Fresh ในบริเวณ 3 กิโลเมตร จะการันตีว่าจะได้รับสินค้าภายใน 30 นาที ซึ่งมีแผนที่จะเปิดให้ครบ 1,000 แห่งใน 5 ปีข้างหน้า

***ทุกอย่างอัตโนมัติ

ไม่ใช่แค่ในเรื่องของการขนส่งเพียงอย่างเดียว เพราะปัจจุบัน JD เริ่มมีการนำหุ่นยนต์มาใช้งาน ในคลังสินค้าที่ไม่ต้องพึ่งพาแรงงานมนุษย์ ด้วยการนำหุ่นยนต์มาใช้ทั้งการขนถ่ายสินค้าภายในคลัง ไปจนถึงการจัดส่งระหว่างคลังสินค้าแล้ว

จนก่อให้เกิดร้านค้ายุคใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพาแรงงานคนอีกต่อไป ด้วยการนำเสนอร้านขายของที่ใช้เทคโนโลยีมาช่วยตั้งแต่การเดินเข้าร้านด้วยการสแกน QRCode หรือใบหน้าเพื่อเข้าสู่ระบบ หลังจากนั้นเมื่อหยิบสินค้าใดๆ จากชั้นวางของที่มีเซ็นเซอร์ตรวจสอบน้ำหนัก ร่วมกับกล้องวงจรปิดที่ทำการสแกนใบหน้า ก็จะบรรจุสินค้าชนิดนั้นเข้าไปในตระกร้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทันที เมื่อเลือกซื้อสินค้าเสร็จก็สามารถเดินออกจากร้านค้า โดยไม่ต้องไปชำระเงินที่เคาเตอร์อีกต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดในการทำร้านอาหารแบบอัตโนมัติ ที่ใช้ระบบการบริหารซัปพลายเชนแบบอัตโนมัติมาช่วย ตั้งแต่การจัดส่งวัตถุดิบไปยังร้านอาหาร หุ่นยนต์ที่สามารถปรุงอาหารได้เหมือนเชฟมืออาชีพ และหุ่นยนต์จัดส่งอาหารที่นำหลักการของสมาร์ทลอจิสติกส์มาใช้ ไปจนถึงตู้ขายอาหารอัตโนมัติ ที่จะมาจับกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่มีเวลาจำกัด แต่อยากได้อาหารที่ทำสดใหม่ๆ มารับประทาน

***จากผู้ช่วยส่วนตัว ถึงแพลตฟอร์ม IoT JD Alpha

เพื่อให้ช่องทางในการเข้าถึงสินค้าทำได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่แค่ผ่านสมาร์ทโฟน และพีซี อีกต่อไป ทาง JD จึงได้เริ่มโครงการในการนำ AI มาใช้งาน ด้วยการปรับเปลี่ยนให้เป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่จะถูกนำไปผสานเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีหน้าจอแสดงผลอย่างตู้เย็น รวมถึงสมาร์ททีวี เพื่อสร้างประสบการณ์ในการสั่งซื้อสินค้าได้สะดวกขึ้น ไปจนถึงการร่วมมือกับผู้ผลิตรถยนต์นำ AI ไปใช้ เพื่อให้เกิดรถยนต์อัจฉริยะ และมีแผนที่จะพัฒนาแพลตฟอร์ม Iot ในชื่อ JD Alpha เพื่อช่วยให้แบรนด์ และพันธมิตร สามารถเข้าถึงอนาคตที่ผู้บริโภคไม่ได้มีข้อจำกัดในแง่ของดีไวซ์ในการเลือกใช้งาน

อีกรูปแบบของเทคโนโลยีที่ JD นำมาใช้งานแล้ว คือ เรื่องของ AR อย่างการนำจอแสดงผลมาอยู่กับกระจกเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกลองสีเครื่องสำอาง ลิปสติก หรือแม้กระทั่งเสื้อผ้าได้ โดยมีการนำ AI มาช่วยแนะนำเทรนด์แฟชั่นให้แก่ลูกค้าเพิ่มเติมด้วย



ขณะที่ฝั่งของผู้ผลิตสินค้า ได้มีการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาช่วยในเรื่องของการบริหารจัดการซัปพลายเชน ทำให้สามารถตรวจสอบเส้นทางของสินค้าทุกชนิดได้ว่า ขนส่งมาจากที่ใด ผ่านช่องทางไหน รถบรรทุกทะเบียนอะไร เพื่อเป็นข้อมูลช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าได้

***ผลักดันจีนสู่มหาอำนาจทางเทคโนโลยี

เมื่อมองถึงเทคโนโลยีของ JD จะเห็นได้ว่ามีครอบคลุมทุกอย่างในแง่ของการให้บริการรีเทล ทำให้ปัจจุบัน JD มองบริษัทเป็นผู้ให้บริการทางด้านค้าปลีก (Retail as a Service) ที่ให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่การคัดเลือกสินค้า บริหารจัดการคลังสินค้า ระบบลอจิสติกส์ ไปจนถึงการส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภค

“เชื่อว่าด้วยเทคโนโลยีที่ JD มีรวมถึงบริษัทอื่นๆ ในจีน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการนำพาประเทศจีนสู่การเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีได้แล้ว ในเวลานี้ จึงขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถนำเทคโนโลยีที่มีขยายออกไปสู่ต่างประเทศได้อย่างไร”

**ดึงแบรนด์ระดับโลกสู่ฐานลูกค้า JD

กลอเรีย ลี รองประธานฝ่ายสื่อสารองค์กร เจดี ดอท คอม ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการทำธุรกิจต่างประเทศของ JD ว่าเริ่มจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่เริ่มขยายตลาดสู่ต่างประเทศในกลุ่มอาเซียน ด้วยการเข้าไปร่วมลงทุนในอินโดนีเซีย ตามด้วยในประเทศไทย จากการจับมือกับเซ็นทรัล กรุ๊ป เพื่อนำประสบการณ์ และความรู้ในด้านการให้บริการธุรกิจรีเทลยุคใหม่มาให้บริการ และมีแผนที่จะเข้าไปร่วมทุนในเวียดนามต่อไป



ในอีกมุมหนึ่ง ทาง JD ก็เปิดโอกาสให้แบรนด์ระดับโลกที่สนใจ สามารถนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายภายใน JD.com เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในประเทศจีน รวมถึงประเทศที่ JD เข้าไปลงทุนด้วย ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับจากแบรนด์ในฝั่งสหรัฐฯ, ยุโรป, ญี่ปุ่น และเกาหลี เป็นอย่างดี

***JD Central เน้นนำประสบการณ์-นวัตกรรมรีเทลสู่ไทย

โดยหลักๆ แล้ว ความร่วมมือระหว่าง JD.com และเซ็นทรัลกรุ๊ป ภายใต้บริษัท เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ จะอยู่บน 4 แนวทางหลักๆ ด้วยกัน คือ 1. การเสริมสร้างประสบการณ์ในการซื้อของออนไลน์ของคนไทย ด้วยการนำความรู้ทางด้านการบริหารจัดการลอจิสติกส์เข้ามาช่วยให้การขนส่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. ผลักดันให้สินค้าไทยเข้ามาจำหน่ายในจีน รวมถึงในประเทศที่ JD เข้าไปทำตลาดในอนาคต 3. ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจ ด้วยการเข้าไปให้ความรู้เกี่ยวกับการทำตลาดสินค้าออนไลน์ และ 4. ทำงานร่วมกับเซ็นทรัลเหมือนเป็นพันธมิตรในการนำนวัตกรรมธุรกิจค้าปลีกเข้ามาใช้ในไทยเพื่อช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศให้ดียิ่งขึ้น

กลอเรีย ระบุว่า ประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพแห่งหนึ่ง ที่มีความต้องการซื้อสินค้า จากผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะในกลุ่มคนเมือง อย่างไรก็ตาม JD เชื่อว่าในแต่ละประเทศ ก็จะมีความต้องการสินค้าในรูปแบบที่แตกต่างกัน ทำให้ต้องมีทีมเข้าไปศึกษาความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละแห่ง

“ทาง JD จะเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์ใช้งานที่ดี ผลิตภัณฑ์ที่ดี ในราคาที่ดีที่สุดด้วยการนำเทคโนโลยีอย่าง Big Data และ AI มาช่วยในการวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาในการจัดแคมเปญ กลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม นำเสนอสินค้าในกลุ่มที่ลูกค้าให้ความสนใจ”

***เปิดให้บริการ JD.co.th ช่วงสิงหาคม

ทั้งนี้ ตามกำหนดการของทาง JD Central จะเริ่มเปิดให้บริการ Jd.co.th อย่างเป็นทางการในช่วงเดือนสิงหาคม

อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกที่เปิดให้บริการ ทาง JD.co.th ยังไม่ได้นำระบบชำระเงินอย่างการสแกนใบหน้าของ JD Finance มาใช้งาน แต่จะใช้ช่องทางชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่เปิดให้บริการอยู่แล้วในไทยก่อน

ปัจจุบัน เซ็นทรัล เจดี คอมเมิร์ซ มีพนักงานแล้วราว 100 คน โดยเพิ่งย้ายสำนักงานไปตั้งที่ เกษรทาวเวอร์ โดยมีการทำงานร่วมกับทาง JD อย่างใกล้ชิดในการนำนวัตกรรมทางธุรกิจรีเทลมาให้บริการในประเทศไทย รวมถึงการลงทุนทางด้านลอจิสติกส์ที่จะเกิดขึ้นด้วย



กำลังโหลดความคิดเห็น