แอลจี เปิดไลน์สินค้าใหม่ รุกตลาดอัลตราพรีเมียม ปรับลุคแบรนด์สู่ระดับไฮเอนด์ หลังแนวโน้มตลาดบนเติบโตอย่างต่อเนื่องกว่า 3-5% สวนทางตลาดกลาง-ล่างที่มีผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจ หันสร้างตลาดที่สูงกว่าด้วย IoT (Internet of Thing) รอผู้บริโภคพร้อมรับ มั่นใจช่องทางขายยังดี เน้นขยาย B2B รับกระแสบวก ตั้งงบการตลาดต่อเนื่องเท่าเดิม 800 ล้านบาท สร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าทดลองใช้ผ่านชอป พุ่งเป้าโตรวม 15% คิดเป็นมูลค่ากว่า 2.3 หมื่นล้านบาท อุบแผนเดินหน้าตลาดสมาร์ทโฟนในไทย รอหารือสำนักงานใหญ่ปรับตำแหน่ง และโครงสร้างทางการตลาดใหม่ภายในปี 2559
ซอง แจ คิม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจีประเทศไทย จำกัด เปิดเผยในงาน LG InnoFest Asia 2016 ซึ่งจัดที่กรุงโซล ระหว่างวันที่ 16-18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า ทิศทางการทำตลาดสินค้าในประเทศไทยเน้นการนำสินค้านวัตกรรมใหม่ที่มีวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีที่ดีเข้ามาจำหน่าย โดยเน้นสินค้าที่มีความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน ซึ่งได้เปิดตัวสินค้า LG Signature ในงาน CES 2016 ที่ผ่านมา เพื่อยกระดับการเจาะเข้าตลาดกลุ่มอัลตราไฮเอนด์ ที่เริ่มมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเป้าหมายรวมของการเติบโตสินค้าทุกกลุ่ม เชื่อว่าจะสามารถกระโดดขึ้นไปได้มากกว่า 15% ขณะที่ตลาดพรีเมียมมีอัตราการเติบโตขึ้นเฉลี่ยกว่า 30% และยังคงมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าในส่วนของการจำหน่ายสมาร์ทโฟนในประเทศไทยจะยังคงหยุดการจำหน่ายชั่วคราวไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาแล้วนั้น แอลจีมองว่า การตลาดของประเทศไทยยังมีประสิทธิภาพที่สามารถนำเข้ามาจำหน่ายได้อยู่ หากแต่ความพร้อมหลังจากการเข้ามาศึกษาการจำหน่ายสมาร์ทโฟนในประเทศไทยนานกว่า 1 ปี พบว่า มีความคลาดเคลื่อนของสัดส่วนการจำหน่ายที่ผิดพลาดเกิดขึ้น โดยการจำหน่ายสินค้าระดับกลาง-ล่างมีสัดส่วนการจำหน่ายมากถึง 80% ของจำนวนยอดขายทั้งหมด และมีเพียง 20% เท่านั้นที่เป็นยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ ซึ่งขัดแย้งต่อตำแหน่งของผลิตภัณฑ์แอลจีที่เมื่อเทียบจากการบริหารงานที่ผ่านมาในฮ่องกง สัดส่วนการจำหน่ายสมาร์ทโฟนไฮเอนด์มีมากถึง 80% ซึ่งส่วนมากลูกค้าจากจีนข้ามมาซื้อสินค้าแอลจีในระดับไฮเอนด์ และหากมองที่ไลน์การผลิตสินค้าสมาร์ทโฟนแอลจี พบว่า สมาร์ทโฟนกลุ่มกลาง-ล่าง ยังมีสินค้าไม่ครบช่วงราคา ซึ่งแอลจีเองก็มุ่งเน้นที่การทำตลาดเครื่องระดับไฮเอนด์เป็นหลัก ทำให้เกิดปัญหาความผิดปกติดังกล่าวขึ้น
แต่ระหว่างที่หยุดการจำหน่ายสมาร์ทโฟนในไทย ก็ยังคงมีการหารือระหว่างทีมขายในประเทศไทย กับสำนักงานใหญ่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างเร็วที่สุด ตลอดจนการวางตำแหน่ง และโครงสร้างทางการตลาดในประเทศไทยใหม่เฉพาะส่วนของสมาร์ทโฟน โดยเชื่อว่าการทำงานอย่างจริงจังจะทำให้สามารถกลับมาจำหน่ายสมาร์ทโฟนได้ตรงตามโครงสร้างสินค้าได้ภายในปี 2559 นี้ และเชื่อว่าตำแหน่งสินค้าที่ชัดเจนจะทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างแน่นอน
นิพนธ์ วงษ์แสงอรุณศรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า งบประมาณการทำตลาดของแอลจีในปีนี้จะเท่ากับปีที่ผ่านมา คือ ประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งการวางงบประมาณเท่าเดิมเนื่องจากยังคงนโยบายการสร้างประสบการณ์ที่ดีของการทดลองใช้สินค้าผ่านชอปที่มีการลงทุนในช่วงปีก่อนหน้ามาอย่างต่อเนื่องแล้ว การตั้งงบดังกล่าวจึงเป็นเพียงการส่งเสริมเพื่อกระตุ้นประสบการณ์ทดลองใช้เช่นเดิม นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการทำตลาด B2B เนื่องจากตลาดดังกล่าวมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และแอลจีก็มีสินค้าครบทุกหมวดที่พร้อมจะเสนอสินค้าได้แบบครบชุด โดยตั้งเป้าการเติบโตของตลาด B2B ไม่น้อยกว่า 10% ผ่านช่องทางการจำหน่ายแบบพาร์ตเนอร์ และการจำหน่ายตรงเข้าองค์กรรัฐ และเอกชน ด้วยเป้ารายได้ทั้งหมดที่ 2.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 15% จากที่มีรายได้ทั้งหมด 2 หมื่นล้านบาท
เขาย้ำว่า จากการวิเคราะห์ด้าน IoT ในประเทศไทย เชื่อว่าผู้บริโภคยังไม่มีความพร้อมในการสร้างระบบเน็ตเวิร์กให้อุปกรณ์เพื่อใช้งานด้วยตนเอง โดยเมื่อเทียบจากการสร้างตลาดสมาร์ททีวีให้สามารถขายได้เทียบเท่าทุกวันนี้ก็ต้องใช้เวลานานกว่า 10 ปี ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่า IoT ในประเทศไทยจะยังไม่เกิดในเร็ววันนี้ แต่แอลจีก็ได้เตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าไม่ว่าจะเป็นแนวทางการผลิต และช่องทางจำหน่าย โดยในงานเปิดตัวสินค้าใหม่ LG InnoFest Asia 2016 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-18 กุมภาพันธ์ 2559 ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลี ก็ได้เปิดไลน์การผลิตสินค้าใหม่ภายใต้ชื่อซีรีส์ “LG Signature” ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้จัดเปิดตัวภายงาน CES 2016 ที่เป็นงานแสดงสินค้าคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์ ใหญ่ที่สุดในโลก โดยจัดที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา โดยแอลจีมีสินค้า OLED TV คว้ารางวัลนวัตกรรมยอดเยี่ยมมาครอง ด้วยความบางของจอเพียง 2.65 มม. (ขนาดเท่าบัตรเครดิตการ์ด 3 ใบซ้อนกันเท่านั้น)
ทั้งนี้ สินค้าในกลุ่ม LG Signature ประกอบด้วย เครื่องซักผ้าที่มีนวัตกรรมการซักแบบถังคู่ โดยเป็นระบบจัดการซักอัตโนมัติ ที่สามารถซักพร้อมกันได้ถึง 2 ถัง (ถังล่างและบน) เพื่อให้สามารถแยกประเภทผ้าที่จะซักได้ตามปริมาณที่ต้องการ ขณะที่เครื่องซักผ้าดังกล่าวยังสามารถเชื่อมต่อไวไฟเข้ากับระบบ LG Smat Hub ซึ่งเป็นระบบอีโคซิสเต็มซ์ที่จัดการระบบ IoT ของแบรนด์ LG ภายใต้การทำงานผ่านโปรแกรม LG Smart Thinq ที่สามารถโหลดมาใช้งานควบคู่กับระบบเซ็นเซอร์เพื่อสร้างบ้านอัจฉริยะได้ และยังมีทีวีจอโค้งที่สามารถแยกดู 2 ช่องแบบด้านหน้าและด้านหลังได้พร้อมกัน นับเป็นนวัตกรรม OLED TV ครั้งแรกที่นำความสามารถของหลอดแอลอีดีซึ่งสามารถกำหนดแสงได้มาช่วยเพิ่มความสามารถในอีกด้านของหน้าจอ ทำให้เกิดการแสดงภาพด้านหลังได้สำเร็จ และยังช่วยเพิ่มความมืดให้แก่การแสดงภาพ และช่วยประหยัดพลังงาน เนื่องจากไม่ต้องใช้แสงแบล็กไลต์ในการให้ความสว่างดังเช่นในอดีต
นอกจากนี้ ยังมีตู้เย็นที่ควบคุมการทำงานด้วยเซ็นเซอร์ โดยสามารถเคาะ 2 ครั้ง ที่ประตู เพื่อสั่งให้เครื่องเปิดไฟส่องสว่างภายในตู้เย็นเพื่อตรวจเช็กของที่เหลืออยู่ภายในได้อย่างสะดวก และหากผู้ใช้ถือของมาเต็มมือจนไม่สามารถเปิดประตูได้เอง การยื่นเท้าเข้าไปในตำแหน่งเซ็นเซอร์ เพื่อสั่งการให้ประตูเปิดขึ้นอัตโนมัติก็สามารถทำได้ หรือแม้กระทั่งการเปิดประตูตู้เย็นแล้วลิ้นชักภายในสามารถเลื่อนออกมาได้อย่างอัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ได้มีความสะดวกในการหยิบจับของภายในตู้เย็นได้นั่นเอง รวมทั้งยังมีเครื่องฟอกอากาศที่แม้ว่าจะไม่เลือกนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยก็ตาม แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถของการสั่งการเครื่องผ่านระบบอัจฉริยะ ที่สามารถย่นระยะเวลาการดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในครอบครัวโดยผ่านแอปสมาร์ทโฟน
แม้ว่าการวิเคราะห์ตลาดของแอลจีเองจะยังไม่เปิดเกมรุกตลาดสินค้าไฮเทคอย่าง IoT แบบจริงจังในประเทศไทย แต่เครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ผลิตโดยแอลจีก็เริ่มสอดแทรกระบบ Smart Ecosystem เข้ามาไว้อย่างต่อเนื่อง โดยผ่านการซิงค์ตรงระหว่างอุปกรณ์ และสมาร์ทโฟนได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ททีวี ที่มีสัดส่วนการจำหน่ายกว่า 50% ของจำนวนทั้งหมด ก็สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเพื่อสั่งการควบคุมทีวีผ่านสมาร์ทโฟนได้อย่างไม่ยากเย็นนัก หรือจะเป็นตู้เย็นรุ่นใหม่ที่เริ่มมีการติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อช่วยตรวจจับเบื้องต้น และสั่งการตอบสนองตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ได้ในทันที และที่สำคัญระบบ LG Smart Hub ที่ได้เปิดตัวไปก่อนหน้า ก็เป็นหลักประกันได้ว่าเมื่อผู้บริโภคพร้อมแล้ว แอลจีจะสามารถวางจำหน่ายสมาร์ทเน็ตเวิร์กเพื่อเชื่อมโยงระหว่างคน และอุปกรณ์ให้สามารถสื่อสารกันรู้เรื่อง จนนำไปสู่ความสะดวก และรวดเร็วในการใช้ชีวิตประจำวันในอนาคต
Company Relate Link :
LG