ไพโอเนียร์ มอเตอร์ เผยเป้าหมายรายได้ปีนี้คาดเติบโตไม้น้อยกว่า 10% หรือ 500 ล้านบาท ส่วนกำไรใกล้เคียงปีก่อนหน้า เผยทุ่มงบ 35 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงานเพิ่มกำลังการผลิต และระบบสิ่งแวดล้อม พร้อมยื่นขอใบอนุญาตรับรองมาตรฐานสินค้า UL Standards จากสหรัฐอเมริกา จ่อเดินสายออกงานแสดงสินค้าหาลูกค้าเพิ่ม
น.ส.สิริรัตน์ อิทธิโรจนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาด และ น.ส.นรีรัตน์ อิทธิโรจนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสนับสนุนองค์กร บมจ.ไพโอเนียร์ มอเตอร์ หรือ PIMO กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้การเติบโตของธุรกิจไว้ในปีนี้ไม่ที่ไม่น้อยกว่า 10% หรือประมาณ 500 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของกำไรขั้นต้นปี 2559 จะพยายามรักษาไว้ไม้ให้ต่ำกว่าา 10-15% ขณะที่ในส่วนของยอดสั่งซื้อในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 40 ล้านบาท จากสัดส่วนสินค้าใน 3 ประเภทหลัก คือ มอเตอร์เครื่องปรับอากาศ 45% มอเตอร์กำลังที่ใช้ในภาคเกษตรอุตสาหกรรม 20% มอเตอร์สำหรับสูบน้ำปั๊มน้ำ 20% มอเตอร์สำหรับสระ และสปาอีกประมาณ 20% โดยเตรียมที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ มอเตอร์สระว่ายน้ำที่นิยมใช้ในต่างประเทศ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง
ขณะเดียวกัน ในส่วนของงบลงทุนในปีนี้ ซึ่งบริษัทฯ ตั้งไว้ที่ 35 ล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับปรุงคุณภาพการผลิตด้วยการซื้อเครื่องจักรใหม่ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตจากเดิม ซึ่งอยู่ที่ 85% ในปัจจุบันนี้ (จากยอดการผลิตมอเตอร์จำนวน 600,000 ลูก/ปี) ซึ่งหากปรับปรุงเครื่องจักรแล้วเสร็จ คาดว่าจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกอย่างน้อย 100,000 ลูก/ปี นอกจากนี้ ยังมีการใช้เงินลงทุนเพื่อการบริหารสิ่งแวดล้อมของโรงงานตามมาตรฐานอุตสาหกรรมอีกด้วย
“บริษัทเตรียมงบลงทุนในการขยายกำลังการผลิตไว้ 35 ล้านบาท โดยใช้ลงทุนปรับปรุงเครื่องจักร และระบบด้านมาตรฐานสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังได้จัดเตรียมเงินลงทุนอีกประมาณ 5 ล้านบาท เพื่อขอใบรับรองมาตรฐานสินค้าอุตสาหกรรมจากอเมริกา หรือ UL Standards ซึ่งแม้จะมีรายจ่ายในช่วงระยะแรกนี้มากดดัน แต่หากในอนาคตผ่านมาตรฐาน UL Standards จากสหรัฐอเมริกา และได้รับใบอนุญาตแล้ว คาดว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการผลิต และมียอดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น”
ขณะที่ในส่วนของสัดส่วนการขายสินค้าของบริษัทในปีนี้ได้ปรับสัดส่วนการส่งออกปีนี้ให้เป็น 30% จากปี 2558 ซึ่งอยู่ที่อยู่ 25% เนื่องจากมาร์จิ้นการส่งสินค้าออกขายดีกว่าในประเทศเฉลี่ยที่ 25% โดยบริษัทฯ เตรียมที่จะไปออกงานแสดงสินค้าในประเทศสหรัฐฯ ภายในเดือนมกราคมนี้ เนื่องจากมองว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ และมีช่องว่างเข้าไปได้อีกมาก ประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มปรับฟื้นตัวขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งหลังจากนั้น จะทยอยเดินสายแสดงสินค้าเพิ่มในกลุ่มประเทศยุโรป เช่น อิตาลี และกลุ่มประเทศในเอเชียทั้งหมด