2 ยักษ์ใหญ่แดนมังกรในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคม อย่างแซตทีอี และหัวเว่ย ต่างเล็งเห็นถึงความสำคัญเป็นอย่างมากในตลาดสมาร์ทโฟนประเทศไทย ที่ยกความสำคัญให้เป็นอันดับต้นๆ ในภูมิภาคอาเซียน พร้อมเปิดขุมกำลังหวังพิชิตศึกปีหน้า โดยมุมมองที่ทั้ง 2 บริษัทมีต่อสภาพตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทยจะค่อนข้างใกล้เคียงกัน คือมองว่า ตลาดในประเทศไทยถือว่ามีศักยภาพสูงในภูมิภาคนี้ เนื่องจากกำลังอยู่ในช่วงที่เปลี่ยนผ่านจากยุค 2G ไปสู่การใช้งาน 3G ทั่วประเทศ
เจเรมี่ จ้าว ประธานบริหารฝ่ายธุรกิจมือถือประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แซตทีอี กล่าวว่า ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยกว่า 40% ยังใช้งานเครื่องที่เป็น 2G อยู่ โดยโอเปอเรเตอร์มีความพยายามผลักดันให้มีการเปลี่ยนมาเป็นเครื่องที่รองรับ3G
'ในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับราคาเริ่มต้นถือว่าเป็นกลุ่มที่มีคู่แข่งที่หลากหลาย และจำนวนมาก แต่ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคคนไทยที่เริ่มเห็นประสิทธิภาพของสินค้าจากจีนมากขึ้น จากส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เชื่อว่าผู้บริโภคเริ่มยอมรับในแบรนด์จีนมากขึ้น'
โดยก่อนหน้านี้แซดทีอีเริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยด้วยสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตภายใต้แบรนด์ของตัวเอง แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร จึงหันไปเพิ่มความร่วมมือกับทางโอเปอเรเตอร์ในการเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเพื่อออกมาวางจำหน่าย
'กลยุทธ์ในช่วงที่ผ่านมาของแซตทีอีจะเน้นการทำตลาดแบบ B2B เป็นหลัก คือร่วมมือกับโอเปอเรเตอร์อย่างดีแทค และเอไอเอส ในการจำหน่ายสมาร์ทโฟนราคาถูกที่กลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่เข้าถึงได้ ส่วนทางทรูมูฟ เอช ไม่ได้ร่วมมือเพราะข้อกำหนดของทางทรูที่ระบุว่าทางผู้ผลิตไม่สามารถสกรีน ตราสินค้าได้ จึงไม่เกิดความร่วมมือขึ้น'
ส่งผลให้ในปัจจุบันแซตทีอีมีส่วนแบ่งในตลาดสมาร์ทโฟนอยู่ราว 5% หรือคิดเป็นจำนวนเครื่องราว 1 ล้านเครื่องจากการร่วมทำตลาดกับทางโอเปอเรเตอร์อย่าง 'ไตรเน็ตโฟน' ของดีแทค และมองว่าในปีหน้าจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดขึ้นมาเป็น 10% ให้ได้จากการเริ่มหันเข้ามาทำตลาดคอนซูเมอร์ด้วยตนเองมากขึ้น
ในปีนี้รายได้หลักของกลุ่มผลิตภัณฑ์มือถือแซตทีอี จะมาจากส่วนของ B2B เกือบทั้งหมด แต่เชื่อว่าสัดส่วนนี้จะเปลี่ยนไปในช่วงปีหน้าเป็นรายได้จากตลาด B2B ราว 70% และจาก B2C ราว 30% เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายส่วนแบ่งตลาดที่หวังไว้
'การหันเข้ามาทำตลาดในส่วนของ B2C มากขึ้น เนื่องจากจะช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้โดยตรง และถือเป็นการขยายตลาดไปในวงกว้าง เบื้องต้นจะเริ่มจากสมาร์ทโฟนในระดับราคาต่ำกว่าหมื่นบาทก่อน หลังจากนั้นจะเริ่มนำสินค้าที่เป็นระดับไฮเอนด์ รวมถึงเครื่องที่รองรับ 4G เข้ามาวางจำหน่ายต่อไป'
ด้วยงบการทำตลาดที่แซตทีอีวางไว้ 20 ล้านเหรียญเพื่อใช้ทำตลาดในภูมิภาคอาเซียน โดยจะแบ่งมาใช้กับตลาดประเทศไทยราว 30-45% หรือประมาณ 9 ล้านเหรียญ (270 ล้านบาท) ทำให้เชื่อว่าโอกาสที่ในปีหน้าจะสามารถขยายส่วนแบ่งตลาดขึ้นมาเป็น 10% ด้วยยอดขายสมาร์ทโฟนกว่า 2 ล้านเครื่อง ไม่น่าเป็นเรื่องยาก
'จากเป้าหมายการจำหน่ายสมาร์ทโฟน 2 ล้านเครื่องในปี 2558 จะแบ่งเป็นราว 1.5 ล้านเครื่อง จากการทำตลาดสมาร์ทโฟนที่ทำแบรนด์ร่วม (C0-Brand) ร่วมกับทางโอเปอเรเตอร์ และอีก 5 แสนเครื่องจะจำหน่ายภายใต้แบรนด์แซดทีอี'
ทั้งนี้ แซตทีอีใช้ช่องทางการทำตลาดแบบออนไลน์ หรือออนไลน์มาร์เกตติ้งเข้ามาเสริมจากช่องทางการตลาดเดิมที่มีอยู่ ด้วยการทดลองส่งผลิตภัณฑ์ที่มีราคาต่ำสุดเข้าไปลองวางจำหน่ายใน Shop@7 และ Lazada ส่วนในปีหน้าจะมีการเปิดแบรนด์ชอปเพิ่ม 5 แห่ง ในส่วนของบริการหลังการขายจะเพิ่มจุดรับส่งสินค้าเป็น 200 แห่งทั่วประเทศ
ขณะที่ในมุมของหัวเว่ย คู่กัดรายสำคัญนั้น เฉิน รุ่ย กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากรายงานการวิจัยตลาด คาดว่าตลาดสมาร์ทโฟนในปีหน้าจะมีการแข่งขันกันรุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้หัวเว่ยต้องมีการปรับกลยุทธ์ในการเข้าถึงพันธมิตรอย่างตัวแทนจำหน่าย ร้านขายปลีก รวมไปถึงโอเปอเรเตอร์ เพื่อให้ครอบคลุมช่องทางจำหน่ายมากขึ้น
'ด้วยการที่หัวเว่ยเน้นทำตลาดแบบ B2C เป็นหลัก ทำให้สามารถนำจุดเด่นตรงนี้มารับฟังความต้องการของพันธมิตรและลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการหลังการขายให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าให้ดีที่สุด และเชื่อว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่ใหญ่พอและมีการแข่งขันที่เป็นธรรม พร้อมเปิดรับผู้เล่นหน้าใหม่อยู่เสมอ'
ทั้งนี้ ในช่วงปีที่ผ่านมาหัวเว่ยเริ่มหันมาทำตลาดแบบ B2C แบบเต็มตัว ส่งผลให้จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะมีส่วนแบ่งในตลาดสมาร์ทโฟนที่ 5% ปรับลดลงไปเหลืออยู่ที่ 3% แต่คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีขึ้นในปีหน้า จากการที่เริ่มนำผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายเข้ามาในตลาด โดยเชื่อว่าจะสามารถขึ้นเป็น 1 ใน 3 ผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนจากส่วนแบ่งมากกว่า 10% ในปี 2558
หัวเว่ยมีวางงบประมาณในการทำตลาดปีนี้ไปแล้วกว่า 9 ล้านหรียญ (ราว 270 ล้านบาท) และเตรียมงบการตลาดเพิ่มในปีหน้าไว้อีกไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่หวังไว้ โดยจะเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนในระดับกลาง-บนมากขึ้นเช่นเดิม
'ในปี 2558 หัวเว่ยจะยังคงขยายจำนวนพันธมิตรช่องทางร้านค้าปลีกให้เพิ่มมากขึ้น โดยตั้งเป้าเพิ่มแฟลกชิปสโตร์ และแบรนด์ชอป 20 แห่ง เคาน์เตอร์ในชอป 1,500 แห่ง และคีออสก์ในไอทีมอลล์ต่างๆ อีก 6,000 แห่ง พร้อมกับเน้นการสร้างทีมขายปลีกให้แข็งแกร่ง พัฒนาการจัดการให้ดีขึ้น เพื่อสนับสนุนให้พันธมิตรมียอดขายเพิ่มสูงขึ้น'
*** 2 แบรนด์ช่วยกันชิงตลาดสมาร์ทโฟน
เมื่อวิเคราะห์ถึงแผนการตลาดของทั้งแซตทีอี และหัวเว่ย แล้วจะเห็นได้ว่าถือเป็นการทำตลาดที่แยกกันจับตลาดคนละจุด โดยแซตทีอีจะเริ่มจากตลาดที่เป็นสมาร์ทโฟนระดับราคาเริ่มต้น 1,990 บาท ไปจนถึงเครื่องระดับ 1 หมื่นบาท ซึ่งจะให้ความสำคัญต่อการทำตลาดร่วมผ่านการจำหน่ายเครื่อง OEM ให้กลายเป็นโคแบรนด์มากกว่า ก่อนจะขยายไปยังสินค้าที่เป็นไฮเอนด์
โดยเพิ่งมีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนใหม่ 5 รุ่นประกอบไปด้วย ZTE Kis 3 (V811w) จอขนาด 4 นิ้ว ราคา 1,990 บาท ZTE Blade L2 จอขนาด 5 นิ้ว 2 ซิม ราคา 3,790 บาท ZTE Blade VEC หน้าจอ 5 นิ้ว กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล ราคา 5,790 บาท ZTE Blade V5 จอ 5 นิ้ว กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล ราคา 5,990 บาท และ ZTE Star 1 จอ 5 นิ้ว FullHD บาง 6.58 มิลลิเมตร กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล ราคา 10,990 บาท
ในขณะที่หัวเว่ยจะจับตลาดในระดับไฮเอนด์เป็นหลัก จากช่วงที่ผ่านมาที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นแฟลกชิปอย่าง Ascend P7 และ Ascend Mate 7 ในช่วงระดับราคาหมื่นกลางๆ ก่อนที่จะทยอยส่งสินค้ารุ่นอื่นๆที่มีราคาต่ำลงมาเพื่อทำตลาดในระดับเริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ทั้ง 2 แบรนด์เล็งเห็นว่าพฤติกรรมผู้บริโภคคนไทยที่ชื่นชอบในสมาร์ทโฟนคือเรื่องของกล้องถ่ายภาพ รวมไปถึงการถ่ายภาพ Selfie และหน้าจอขนาดใหญ่ ทำให้ในปีหน้าแซตทีอีจะเริ่มนำเข้า ZTE Nubia Z7 เข้ามาทำตลาด โดยชูจุดเด่นเรื่องของขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียด 2K สเปกระดับไฮเอนด์ รองรับการใช้งาน 4G และที่สำคัญคือเรื่องของกล้องที่ใช้เซ็นเซอร์ที่ทางแซตทีอีพัฒนาขึ้นมาเอง
ขณะที่ทางหัวเว่ยก็จะมีรุ่นอัปเดตของแฟลกชิปเรือธงอย่าง Ascend P8 และ Ascend Mate 8 ชูความโดดเด่นในเรื่องของชิปเซตใหม่ในชื่อ Kirin 930 โดยตัว P8 จะมากับหน้าจอขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด 1080p ส่วน Mate 8 จะใช้จอ 6 นิ้ว เพิ่มความละเอียดเป็น 2K และจะเพิ่มรุ่นอย่าง Ascend D8 เข้ามาจับตลาดขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียด 2K
เมื่อดูจากไลน์สินค้าที่เตรียมทำตลาดในปีหน้าของทั้งแซตทีอี และหัวเว่ย ยังไม่นับแบรนด์จากจีนด้วยกันอย่าง ออปโป้ และเลอโนโว ทำให้เชื่อได้ว่าการแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนปี 2558 จะคึกคัก ดุเดือด รุนแรงแน่