ออราเคิล เผยครึ่งปีหลัง เอาต์ซอร์ส เติบโตต่อเนื่องผลจากเศรษฐกิจอืด ลูกค้าหันมาลงทุนเพิ่มศักยภาพ ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายให้สามารถแข่งขันได้ เผยธุรกิจที่จะมีการลงทุนอย่างมากได้แก่ โทรคมนาคม แบงค์กิ้ง และภาครัฐ ล่าสุดโดดโซลูชันอี-บิสสิเนส ให้ไมเนอร์
นายณัฐศักดิ์ โรจนพิเชฐ กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอาเซียน และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ออราเคิล คอร์ปอเรชัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังภาพรวมตลาดว่าจ้างงานระบบจากภายนอก(เอาต์ซอร์ส) นั้นมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเกิดการเพิ่มขึ้นจากการขยายธุรกิจ และการนำไอทีเข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่ายในยุคเศรษฐกิจชะลอตัว โดยปัจจัยที่จะเป็นตัวกระตุ้นคือ แผนการลงทุนระยะยาวขององค์กรต่างๆ รวมถึงปัจจุบันการผลิตบุคลากรด้านไอทีเข้าสู่ตลาดนั้น ยังพบว่ามีอัตราที่ต่ำอยู่มาก จึงส่งผลให้ในภาพรวมยังมีการเติบโตที่สูงอยู่
อย่างไรก็ดี ในภาพรวมการลงทุนอุตสาหกรรมไอทีช่วง 4-5 เดือนก่อนสิ้นปีนี้ เชื่อว่ายังคงมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ซึ่งในหลายองค์กรเล็งเห็นว่าไอทีจะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพและประสิทธิภาพในการทำงานให้แก่บริษัท ให้ดียิ่งขึ้น โดยเชื่อมั่นว่าเม็ดเงินที่หมุนเวียนในอุตสาหกรรมไอทีจะไม่ชะงัก และยังคงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะไม่เอื้ออำนวยก็ตาม
ทั้งนี้มองว่าภาคส่วนธุรกิจที่จะมีการลงทุนด้านไอทีจำนวนมาก จะเป็นภาคส่วนธุรกิจโทรคมนาคมเนื่องจากจะมีการนำเทคโนนโลยี 3 Gมาให้บริการ ในส่วนธุรกิจแบงกิ้ง ที่จะมีการนำมาตรฐานสากลมาใช้สำหรับการให้บริการ เพื่อให้มีศักยภาพสามารถแข่งขันกับธนาคารต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น ส่วนภาครัฐก็จะมีการลงทุนไอทีเพิ่มสูงขึ้น เพื่อช่วยให้องค์กรมีศักยภาพ และลดต้นทุนได้มากยิ่งขึ้น
ส่วนกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย หรือ SME พบว่าที่ผ่านมายังคงมีการลงทุนด้านไอทีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยอมรับว่ามีผู้ประกอบการตัดสินใจลงทุนยากขึ้น แต่ในส่วนของออราเคิลที่ผ่านมาพบว่าจำนวนการลงทุนลูกค้ากลุ่มนี้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่เห็นผลกระทบใดๆ
นายณัฐศักดิ์เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัท ไมเนอร์ กรุ๊ป ได้ทำการลงทุนติดตั้งโซลูชันอี-บิสสิเนสของออราเคิล เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจ ซึ่งโซลูชันดังกล่าวสามารถทำงานร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานไอที และแอปลิเคชันหลักๆ ของไอบีเอ็มที่ทำการลงทุนไปก่อนหน้านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั้ง 3 บริษัททั้ง ออราเคิล, ไอบีเอ็ม และไมเนอร์จะร่วมกับบริหารจัดการระบบ โดยทางออราเคิลจะช่วยให้ไมเนอร์ กรุ๊ป สามารถปรับใช้แพลตฟอร์มแบบครบวงจรที่มีประสิทธิภาพ และปรับขนาดได้เหมาะสม
นายนีล แฮมป์เชอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสารสนเทศ บริษัท ไมเนอร์ กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทมีแผนการลงทุนสำหรับงานระบบสารสนเทศ หรือไอทีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการที่บริษัทได้ว่าจ้างงานระบบจากภายนอก(เอาต์ซอร์ส) ของออราเคิล เข้ามาสนับสนุนระบบการจัดการปฏิบัติการณ์ (แบ็ค ออฟฟิศ) เพื่อรองรับระบบงานอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจของบริษัททั้งหมดทั้งกลุ่มธุรกิจโรงแรม กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร และ กลุ่มธุรกิจแฟชัน ปัจจุบันบริษัทมีแบรนด์เนมร้านอาหารทั้งในและต่างประเทศ รวมกันกว่า 800 แห่ง แบ่งเป็นในประเทศไทย 600 แห่ง และต่างประเทศไทย 200 แห่ง ส่วนเชนโรงแรมของกลุ่มไมเนอร์ เปิดให้บริการวม 19 แห่ง อยู่ในไทย 12 แห่งและในต่างประเทศ 7 แห่ง
อย่างไรก็ดีการลงทุนด้านไอทีครั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตธุรกิจไมเนอร์ กรุ๊ป ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในและต่างประเทศ ซึ่งต้องการระบบการทำงานด้านไอทีโดยเฉลี่ยต่อปีแล้ว บริษัทจะมีผลดำเนินการธุรกิจเติบโต 15-20%”
ทั้งนี้ บริษัทได้ลงทุนราว 23 ล้านเหรียญสหรัฐ เข้าถือหุ้นในสัดส่วน 50% กิจการร้านอาหารแบรนด์เนมใหม่ “คอฟฟี คลับ” ซึ่งวางตำแหน่งเป็นร้านกาแฟระดับบน (พรีเมียม) ที่ปัจจุบันเปิดให้บริการสาขาในประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ รวมกว่า 200 สาขา ซึ่งบริษัทเตรียมนำแบรนด์เนมร้านอาหารเครื่องดื่มกาแฟดังกล่าว มาเปิดให้บริการในประเทศไทยสาขาแรก ในปลายปี 2551นี้
นอกจากนี้ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชันแนล ยังได้ลงทุนอีก 40 ล้านเหรียญสิงคโปร์ เข้าถือหุ้นธุรกิจในกลุ่มราเจซ ประเทศสิงคโปร์ ผู้บริหารธุรกิจโรงแรม-ร้านอาหาร โดยเข้าซื้อหุ้นของ Thai Express Concepts หรือ Thai Express ดำเนินธุรกิจร้านอาหารหลากหลายประเภทได้แก่ อาหารไทย จีน ญี่ปุ่น และอาหารตะวันตก โดยมีร้านอาหารรวมจำนวน 46 สาขา ตั้งอยู่ในหลายประเทศ
Company Related Links :
Oracle