กมธ.สิทธิมนุษยชนสภาสูง จี้รัฐถอน พ.ร.บ.คลื่นความถี่ สับบิดเบือนเจตนารมณ์ ย้ำหากดื้อเตรียมยื่นศาล รธน.ตีความ ระบุควรเปิดโอกาสให้องค์กรสื่อภาค ปชช. องค์กรด้านสิทธิเสรีภาพ และหน่วยงานภาครัฐร่วมร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ ให้ ปชช.เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อองค์กรมีอิสระ ชอบธรรมมากขึ้น
วันนี้ (8 ส.ค.) ที่รัฐสภา นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน ในคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนสิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา แถลงว่า คณะอนุกรรมาธิการฯ มีมติคัดค้านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ... ซึ่งเป็นร่างฯ ของรัฐบาลที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญนิติบัญญัติ นี้
เนื่องจากมีเหตุผลคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ดังนี้ 1.ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญพ.ศ.2550 ในมาตรา 47 ที่กำหนดให้มีองค์กรของรัฐ ที่เป็นอิสระในการจัดสรรคลื่นความถี่ อันเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติ เพื่อประโยชน์ของสาธารณะ แต่ร่าง พ.ร.บ.ของรัฐบาล กลับกำหนดให้ ครม.เป็นผู้คัดเลือกบุคคลตามบัญชีรายชื่อที่กระทรวงไอซีที เป็นผู้เสนอรายชื่อ เท่ากับว่าองค์กรฯแห่งนี้ถูกครอบงำโดยฝ่ายบริหารอย่างสิ้นเชิง ถือว่าขาดความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบายและแผนแม่บทในการบริหารคลื่นความถี่อย่างเป็นอิสระ
นายประสาร กล่าวต่อว่า 2.เนื้อหาร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ปี 2543 คำนึงถึงสัดส่วนที่เหมาะสมระหว่างผู้ประกอบการภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยกำหนดให้ประชาชนได้ใช้คลื่นความถี่ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 20 แต่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กลับตัดเนื้อหาส่วนนี้ออกไป เท่ากับปฏิเสธบทบาทและสิทธิของภาคประชาชนทั้งหมด จึงกลายเป็นการดำเนินการโดยภาครัฐและภาคพาณิชย์แบบเต็มที่ไม่มีความหมายใดๆ ในเชิงของการปฏิรูปสื่อ เสียง และภาพ 3.ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ยังขัดกับมิติของธรรมาภิบาล
เนื่องจากได้กำหนดให้มีคณะกรรมการติดตามประเมินผลที่แต่งตั้งขึ้นเอง แทนที่จะกำหนดให้การติดตามประเมินผลดำเนินการโดยบุคคลภายนอก และในมาตรา 72 ระบุว่า พนักงาน กสช.ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ไม่ต้องรับผิดชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ตรงนี้ถือว่าเป็นการหลีกเลี่ยงพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. และยังปฏิเสธมูลฐานความผิด ในกฎหมาย ป.ป.ง. ส่งผลให้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ขาดหลักความเสมอภาคกับเจ้าหน้าที่ชองรัฐหน่วยงานอื่น และส่งผลให้เกิดความขัดแย้งต่อหลักนิติรัฐในการบริหารกิจการบ้านะเมือง
นายประสาร กล่าวว่า คณะกรรมาธิการมนุษยชนฯ มีความเห็นตรงกับองค์กรสื่อ คือเครือข่ายสื่อภาคประชาชนและคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ว่า รัฐบาล และ รมว.ไอซีที ควรถอนร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกไปจากวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร และควรเปิดโอกาสให้องค์กรสื่อภาคประชาชน องค์กรด้านสิทธิเสรีภาพ รัฐสภา และหน่วยงานภาครัฐได้ร่วมกันร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ที่ให้ประชาชนข้ามามีส่วนร่วม และทำให้องค์กรมีอิสระ มีความชอบธรรมมากขึ้น
ด้าน นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการมนุษยชนฯ กล่าวเสริมว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.ของรัฐบาลอย่างมาก แต่ปรากฏว่ารัฐบาลกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ จึงหวังว่าหากร่างดังกล่าวเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร จะมีการพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะเราอยากเห็นองค์กรอิสระมาคุ้มครององค์กรสื่ออย่างจริงจัง เป็นกลาง เพราะถ้ามีองค์กรแล้วไม่มีความเป็นอิสระ บิดเบือน ก็ไม่ต้องมีเสียดีกว่า อย่างไรก็ตาม หากที่ประชุมสภาฯยังมีการบิดเบือนต่อเจตนารมณ์ เมื่อส่งให้ถึงวุฒิสภา แล้วยังไม่มีการแก้ไข ก็อาจมีการนำเรื่องนี้ไปสู่การตีความของศาลรัฐธรรมนูญได้