MGR Online - "โฆษกกรมราชทัณฑ์" เปิดใจปฏิบัติการจู่โจมค้น "ห้องลับ-คุกวีไอพี" พบ อดีต.ผบเรือนจำฯ กับพวก อยู่ภายในห้องทำงาน ยันอยู่ระหว่างขยายผล
วันนี้ (26 พ.ย.) นายยุทธนา นาคเรืองศรี รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ และรักษาการ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เปิดเผยไทม์ไลน์การเปิดปฏิบัติการตรวจค้นจู่โจม เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ว่า ตนได้มีการเปิดปฏิบัติการตรวจค้นจู่โจมเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในเวลา 10.45 น. จนถึงเวลา 18.30 น. และในตอนเย็นของวันเดียวกัน ก็ปรากฏเอกสารคำสั่งย้าย 20 เจ้าหน้าที่เรือนจำฯ ไปปฏิบัติหน้าที่ในเรือนจำต่างจังหวัด รวมถึงคำสั่งแต่งตั้งให้ตนเป็นรักษาการ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม ประเด็นพัศดีเวร ที่มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า เหตุใดใน 20 รายชื่อเจ้าหน้าที่เรือนพิเศษกรุงเทพฯ จึงไม่มีชื่อของเจ้าหน้าที่พัศดีเวรนั้น เนื่องด้วยในวันตรวจค้นจู่โจมพัศดีเวรดังกล่าวไม่ได้อยู่ในบริเวณนั้น ส่วนการเปิดปฏิบัติการนั้น ตนได้เตรียมชุดพิเศษที่ขอรับการสนับสนุนจาก ผบ.เรือนจำต่างจังหวัด ให้รอสแตนด์บายไว้ยังจุดโดยรอบเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
นายยุทธนา เผยว่า ขณะที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์ จะมอนิเตอร์อยู่ในห้องวอร์รูม จากนั้นเมื่อถึงเวลา ตนได้นั่งรถ ผบ.เรือนจำชุดอื่น เข้าไปด้านในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อไม่ให้มีการรู้ทัน และเดินเข้าประตูภายในอาคารสำนักงานผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก่อนเดินขึ้นบันไดเวียน จากชั้น 1 ไปชั้น 2 ที่เป็นห้องทำงานของ ผบ.เรือนจำฯ ซึ่งก็พบว่าภายในห้องดังกล่าวมีกล้องวงจรปิด และพบว่า นายมานพ อยู่กับเจ้าหน้าที่ 2 คน
"อย่างไรก็ตาม ในการเข้าตรวจค้นจู่โจมเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้มีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่เรือนจำอื่นๆ กว่า 100 นาย โดยมีการตรวจทุกแดน ยกเว้น แดน 3 และแดน 5 เนื่องจากกำลังไม่เพียงพอ ซึ่งในการเข้าตรวจค้นแดนขัง จึงทำให้พบสิ่งของต้องห้ามและสิ่งของเกินความจำเป็น จนนำมาสู่คำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จำนวน 20 ราย ทั้งนี้ จากข้อมูลมีเจ้าหน้าที่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จำนวน 270 กว่าราย"
นายยุทธนา กล่าวอีกว่า ในส่วนการเดินทางไปยังต่างประเทศของข้าราชการ หากเป็นผู้บริหารระดับต่ำกว่า ซี9 จะต้องขออนุญาตอธิบดีฯ แต่ถ้าระดับสูงกว่า ซี9 จะต้องขออนุญาตปลัดกระทรวงฯ เพราะอาจเป็นการละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ได้ เพราะถ้าหากส่วนกลางสั่งการใดมาแล้วตัวผู้บังคับบัญชาไม่อยู่ ก็จะมีเหตุความผิดได้ จึงต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าอดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่เดินทางไปต่างประเทศนั้น มีจุดหมายปลายทางไปที่ใด ไปที่เดิม ๆ หรือไม่ แต่ตามหลักการแล้วใน 1 ปี จะสามารถขอลาพักร้อนได้ 20 วัน (ไม่นับรวมวันหยุด)
นายยุทธนา กล่าวถึงกรณี "บอสกันต์" นายกันต์ กันตถาวร หรือบอสกันต์ ที่ถูกกล่าวหาพาดพิงว่ามีการปรากฏตัวอยู่ในแดน 1 เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และสลิปโอนเงิน 40,000 บาท จากภรรยาของนายกันต์ เพื่อล็อกคิวตีเยี่ยมในวันอาทิตย์ ว่า ตนขอตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยการถามกลับไปยังคนโพสต์ข้อมูลดังกล่าว ว่าได้รับข้อมูลมาจากแหล่งไหน ยิ่งการโพสต์รูปภาพสลิปโอนเงิน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นของบุคคลใด เพราะปิดชื่อและสกุล ตนพร้อมอาสาตรวจสอบให้เลย โดยตนจะหาชื่อในสลิปโอนเงินให้ได้ว่าเป็นคนหรือญาติของใคร ขอแค่เอาข้อมูลมาให้ตน ตนจะเอาไปดูในทะเบียนงานเยี่ยมญาติของผู้ต้องขังให้เลย แต่ถ้ามันไม่ใช่ เขาจะรับผิดชอบให้หรือไม่ ในการกล่าวพาดพิงเช่นนี้
ด้าน นายไพฑูรย์ มงคลหัตถี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม กรมราชทัณฑ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวว่า กรณีที่ตนได้มีการขอตั้งกรรมการขึ้นมา 5 คน เนื่องด้วยจะต้องมีการกระจายกำลังไปสอบสวนข้อมูลเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่ถูกคำสั่งย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ยังเรือนจำต่างจังหวัด เพื่อจะได้มีความเพียงพอในการดำเนินงาน ส่วนกรณีการตรวจสอบเส้นทางการเงิน กรมราชทัณฑ์ ไม่สามารถดำเนินการได้ จะต้องเป็นทางดีเอสไอที่รับหน้าที่ดำเนินการเรื่องนี้
ขณะที่ นายกลยุทธ พานาสันต์ ผอ.กองทัณฑวิทยา ระบุว่า การปรับปรุงซ่อมแซมเรือนจำฯ จะต้องมีการขออนุญาตกรมราชทัณฑ์ทุกครั้ง ส่วนเหตุการณ์ว่าใครเป็นคนไปเบิกตัวผู้ต้องขังจีนเทาออกจากแดน 4 เพื่อไปยังห้องลับใต้บันไดนั้น พบข้อมูลว่าคนที่เข้าไปรับเป็นคนใกล้ชิดของนายมานพ ซึ่งหากเป็นเจ้าหน้าที่ก็สามารถเดินผ่านได้ทุกแดนในเรือนจำฯ
"สำหรับเงินที่ถูกนำมาใช้รีโนเวทห้องเกิดเหตุนั้น ยังไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นเงินจากแหล่งใด เพราะเงินในเรือนจำฯ ในการปรับปรุงอาคารสถานที่เพื่อประโยชน์บริหารงานมี 3 ส่วน 1.เงินงบประมาณ (ต้องดูแบบแปลนคำขอตั้งงบ) 2.เงินสวัสดิการร้านค้า เพราะในเรือนจำมีร้านสงเคราะห์ผู้ต้องขัง และ 3.เงินทุนฝ่ายฝึกวิชาชีพ ฉะนั้น จึงต้องมีการตรวจสอบจากระบบหนังสือเอกสาร และอยู่ระหว่างสืบสวนของทางดีเอสไอ"


