ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. เปิดสถิติคดีและความเสียหายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีการดำเนินการสืบสวนจับกุมพร้อมช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกหลอกลวงภายใต้ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ตั้งแต่วันที่ 16-22 พ.ย.68 มีคดีที่รับแจ้งเข้ามาผ่านทาง Thaipoliceonline จำนวน 6,936 เคส มูลค่าความเสียหาย 620,419,457 บาท ซึ่งคดีที่รับแจ้งลดลงจากห้วงวันที่ 9-15 พ.ย.68 จำนวน 786 เคส แต่พบว่ามูลค่าความเสียหายกลับเพิ่มขึ้น 183,728,651 บาท
จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า จำนวนคดีที่รับแจ้งมีจำนวนลดลง แต่ความเสียหายกลับเพิ่มมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มว่าคนร้ายเปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงเหยื่อ จากการหลอกเหยื่อรายย่อย เป็นการเจาะจงเหยื่อรายใหญ่ โดยข้อมูลความเสียหายต่อคดีที่สูงขึ้น สอดคล้องกับสถิติเชิงมูลค่าความเสียหายที่พบว่า การหลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ยังคงเป็นแผนประทุษกรรมของคนร้ายที่ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นอันดับ 1 รองลงมาเป็นการหลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล, หลอกให้โอนเงินโดยข่มขู่ให้เกิดความกลัว และหลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ ตามลำดับ
ขณะที่สถิติการรับแจ้งความในรอบสัปดาห์นี้ พบว่าหากเทียบข้อมูลเชิงปริมาณคดี จะพบว่า การหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ ยังคงเป็นคดีอันดับ 1 ที่ผู้เสียหายถูกหลอกลวงมากที่สุดถึง 62.4% สะท้อนให้เห็นว่า “ตลาดออนไลน์” คือหน้าด่านแรกที่ประชาชนมีโอกาสสัมผัสกับมิจฉาชีพมากที่สุด เนื่องจากเป็นภัยที่ใกล้ตัว เข้าถึงง่าย และอาศัยความประมาท หรือความโลภในสินค้าราคาถูกเพื่อเป็นจุดโจมตี หรือโน้มน้าวใจเหยื่อ ขณะที่การหลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล, หลอกให้โอนเงินเพื่อหารายพิเศษ และหลอกให้ลงทุน เป็นลำดับคดีที่ผู้เสียหายถูกหลอกลวงรองลงมาตามลำดับ ทั้งนี้ข้อมูลประเภทคดีที่ถูกหลอก 3 อันดับแรก แบ่งตามช่วงอายุ มีดังต่อไปนี้ - อายุต่ำกว่า 18 ปี
1. หลอกขายสินค้าและบริการ (ไม่เป็นขบวนการ) 2. หลอกทำงานหารายได้พิเศษ 3. ข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน
อายุ 18-25 ปี 1. หลอกขายสินค้าและบริการ (ไม่เป็นขบวนการ) 2. หลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่น 3. ข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน
- อายุ 26-50 ปี
1. หลอกขายสินค้าและบริการ (ไม่เป็นขบวนการ)
2. หลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่น
3. หลอกทำงานหารายได้พิเศษ
- อายุ 51-60 ปีขึ้นไป
1. หลอกขายสินค้าและบริการ (ไม่เป็นขบวนการ)
2. หลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่น
3. หลอกลวงให้ลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์
ทั้งนี้ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเคสรับแจ้งผ่านทางศูนย์ ACSC และสามารถประสานงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ประกอบกับประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เข้าช่วยเหลือเหยื่ออย่างทันท่วงที โดยสามารถช่วยเหลือและระงับการโอนเงินของผู้เสียหายก่อนจะโอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพได้จำนวน 11 เคส คิดเป็นจำนวนเงินกว่า 5,652,947 บาท โดยมีเคสที่น่าสนใจ ดังนี้
เคสที่ 1 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ระเบาะไผ่ จ.ปราจีนบุรี เข้าช่วยเหลือผู้เสียหายหญิงวัย 76 ปี ที่ถูกมิจฉาชีพซ้ำเติมความเดือดร้อน เริ่มต้นจากการที่ผู้เสียหายถูกคนร้ายหลอกให้โอนเงินเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ กว่า 11 ครั้ง มูลค่าความเสียหายกว่า 1,572,755.81 บาท จากนั้นได้หลอกเหยื่อเข้าบัญชีกลุ่มคนร้ายคดีฉ้อโกง พร้อมส่งเอกสารราชการปลอม หลอกเหยื่อซ้ำว่าสามารถช่วยติดตามเงินคืนให้ได้ แต่ต้องจ่ายค่าดำเนินการ ซึ่งเจ้าหน้าที่รีบเข้าถึงตัวผู้เสียหาย ระงับยับยั้งไม่ให้โอนเงินเพิ่มให้คนร้ายได้ทัน ก่อนจะพาไปแจ้งความและแนะนำให้โทรไปยังสายด่วน AOC 1441 พร้อมประสานอายัดบัญชีต่อไป
เคสที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปอส.ภ.5 ได้รับการประสานจาก warroom ศูนย์ ACSC หลังพบยอดเงินจากผู้เสียหายโอนเข้าบัญชีม้า จากนั้นจึงให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.จว.เชียงราย รีบไปแสดงตัวต่อผู้เสียหาย แจ้งให้หยุดโอนเงินเป็นการเร่งด่วน จากการตรวจสอบพบเหยื่อเป็นหญิงวัย 54 ปี เป็นเกษตรกร อาศัยอยู่คนเดียว ตั้งใจจะไปทำงานที่ต่างประเทศ จึงประกาศขายที่ดินของตน จากนั้นได้มาพบคนร้ายประกาศผ่านเฟซบุ๊ก ประกาศรับหางานคนไปทำงานที่ต่างประเทศ เมื่อผู้เสียหายสนใจ ก็ถูกชักชวนเข้าไปคุยต่อในไลน์ ชื่อ บ.จัดหางาน SHB BAH พูดคุยกันประมาณ 1 เดือน ผู้เสียหายถูกหลอกให้โอนเงินไปจำนวนหลายครั้ง อ้างเป็นค่าทำหนังสือเดินทาง ใบอนุญาตทำงาน พร้อมอ้างว่าก่อนจะเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศจะต้องโอนเงินไปให้เจ้าหน้าที่ ปปง. ตรวจสอบเงินในบัญชีก่อน ผู้เสียหายหลงเชื่อ โอนเงินที่มีในบัญชีธนาคารให้คนร้าย (เงินที่ได้จากการขายที่ดิน) มูลค่าความเสียหายประมาณ 1,400,000 บาท
เช่นเดียวกับเคสที่ 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ศปอส.ภ.5 ได้รับการประสานจาก warroom ศูนย์ ACSC พบธุรกรรมต้องสงสัยว่าผู้เสียหายถูกหลอกลวงโอนเงินเข้าบัญชีม้า จึงประสานตำรวจ ภ.จว.แม่ฮ่องสอน เข้าช่วยเหลือเหยื่อให้หยุดโอนเงิน จำนวน 3 ครั้ง โดยผู้เสียหายรายนี้เป็นหญิง วัย 60 ปี ถูกคนร้ายหลอกลวงเป็นเซียนหุ้น ชักชวนเข้ากลุ่มไลน์ ที่มีหน้าม้าคอยช่วยกดดัน และหลอกเหยื่อให้ตายใจ ก่อนหลอกให้โอนเงินลงทุนในแพลตฟอร์มปลอม มูลค่าความเสียหาย 17,672,839 บาท
นอกจากนี้ทางศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ยังได้ปฏิบัติการจับกุมขบวนการแก๊งสแกมเมอร์ในรูปแบบต่างๆ เช่นกรณีที่ ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เปิดปฏิบัติการ Hybrid Scam ลวงรักชายวัยเกษียณ หลอกลงทุน ความเสียหายเกือบ 2 ล้านบาท จับผู้ต้องหา 12 รายทั้งชาวไทยและชาวลาว หลังทราบข้อมูลว่าผู้เสียหายซึ่งเป็นอดีตคณบดี มหาวิทยาลัยชื่อดัง พูดคุยผ่านโซเชียลมีเดียกับหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง (โปรไฟล์ปลอม) ก่อนจะถูกลวงให้โอนเงินร่วม 10 ครั้ง จำนวนเกือบ 2 ล้านบาท ไปลงทุนในเว็บไซต์ปลอม นำไปสู่การออกหมายจับผู้ต้องหา 23 ราย เข้าตรวจค้น 12 จุดในพื้นที่ กรุงเทพฯ, นนทบุรี, นครสวรรค์ และเชียงราย พร้อมของกลางจำนวนมาก ตรวจสอบพบว่าในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมา ขบวนการนี้มีเงินหมุนเวียนรวมกันเกือบ 20 ล้านบาท โดยกลุ่มผู้ต้องหากลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับอีก 13 คดี ที่มีความเสียหายรวมกว่า 6 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มผู้ต้องหาส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นในพื้นที่จรัญสนิทวงศ์ กรุงเทพฯ มีการรวมตัวกันเพื่อรับงานเบิกถอนเงินสดให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ในประเทศลาว
อีกคดี ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ปฏิบัติการ จับสด รวบม้ากดเงินคาตู้ ATM ตัดตอนคอกม้าส่งเงินให้แก๊งสแกมเมอร์ รวบ 4 ผู้ต้องหา ขณะกำลังถอนเงินสดหน้าตู้ ATM ให้แก๊งสแกมเมอร์ ก่อนขยายผลเข้าตรวจค้นและยึดทรัพย์สินได้จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเงินสด สมุดบัญชีธนาคาร บัตรกดเงินสด เครื่องนับเงินสดอัตโนมัติ ตู้เซฟขนาดเล็กพร้อมเงินสด รถยนต์ ยาบ้า ยาไอซ์ ยาเคตามีน และอุปกรณ์การเสพ รวมเงินสดของกลาง จำนวน 2,025,400 บาท หลังขบวนการนี้หลอกผู้เสียหายให้โอนเงินซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมผ่านเฟซบุ๊ก พร้อมกับมีการชวนให้แอดไลน์ ก่อนหลอกให้ทำกิจกรรมภารกิจต่างๆ โดยให้โอนเงินไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายถอนเงินไม่ได้ โดยคนร้ายกลุ่มนี้ได้ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นไปถอนเงินสดที่หน้าตู้ ATM ในพื้นที่อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เป็นประจำ จึงนำไปสู่การจับกุมกลุ่มผู้ต้องหากลุ่มนี้
ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) เตือนภัยประชาชน ขณะนี้มิจฉาชีพอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจโทรศัพท์ข่มขู่ผู้เสียหายว่าพัวพันกับคดีที่ผิดกฎหมายยังคงระบาดและมีเพิ่มขึ้น โดยคนร้ายมักจะลวงให้นำทรัพย์สินมีค่าพร้อมโอนเงินไปให้ตรวจสอบ อย่างล่าสุด กรณีที่ชายหนุ่ม อายุ19 ปี ถูกคนร้ายโทรศัพท์ข่มขู่ในลักษณะดังกล่าว หลอกให้แสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการโอนเงินทุกบัญชีไปให้ตรวจสอบ มิหนำซ้ำยังข่มขู่ให้นำทรัพย์สินมีค่าไปวางไว้ตามจุดต่างๆที่คนร้ายกำหนด อ้างว่าเป็นขั้นตอนการตรวจสอบทางคดี ทำให้ผู้เสียหายสูญเสียทั้งเงินสดและทรัพย์สินมีค่า จำนวนมาก ทั้งทองคำ พระเครื่อง และเครื่องประดับต่างๆ มูลค่าร่วม 10 ล้านบาท
ขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐ จะไม่ทำ 3 สิ่งนี้เป็นอันขาด 1.จะไม่มีการโทรศัพท์หาผู้เสียหายและขอแอดไลน์ 2.เจ้าหน้าที่จะไม่ส่งเอกสารราชการใดๆ รวมถึงหมายเรียก หมายจับ ทางไลน์ และสำคัญที่สุด 3.เจ้าหน้าที่จะไม่มีการให้โอนเงินหรือนำทรัพย์สินมาส่งให้ตรวจสอบเป็นอันขาด หากพบการกระทำในลักษณะดังกล่าว นั่นเป็นมิจฉาชีพ!!!


