"ทนายอนันต์ชัย"ร้อง ปปป. ตรวจสอบ "พระคึกฤทธิ์"เจ้าอาวาสวัดนาป่าพงพร้อมพวก 13 คน นำเงินกฐินกว่า 6 ล้าน แจกโบนัสให้เจ้าหน้าที่วัด - ซื้อรถหรูมูลค่า 50 ล้านจดทะเบียนในชื่อบุคคลใกล้ชิด
วันนี้ ( 7 ต.ค. ) ที่กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) นายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายความกองทัพธรรม เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เพื่อขอให้ตรวจสอบพฤติการณ์ของ พระคึกฤทธิ์ สวัสดิผล หรือ “พระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล” เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง จังหวัดปทุมธานี และพวก รวม 13 คน
นายอนันต์ชัย กล่าวว่า การยื่นเรื่องครั้งนี้เป็นการร้องขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง 3 ประเด็นหลัก คือ 1.การนำเงินกฐินของวัดไปแจกโบนัสให้เจ้าหน้าที่ ระหว่างปี 2556–2559 วัดนาป่าพงได้โอนเงินจากบัญชีวัดเข้าบัญชีส่วนตัวของเจ้าหน้าที่วัด 4 ราย รวมกว่า 6,704,000 บาท 2.การโอนเงินกฐินผ่านมูลนิธิพุทธโคตร แทนที่จะเข้าบัญชีวัดโดยตรง ซึ่งอาจขัดต่อกฎกระทรวงว่าด้วยการบริหารจัดการสาธารณสมบัติของวัด เนื่องจากเงินบริจาคทุกประเภทต้องนำฝากในบัญชีของวัดและใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคเท่านั้น
และ 3.การซื้อรถยนต์หรูหลายคัน รวมมูลค่ากว่า 50 ล้านบาท ได้แก่ รถเบนซ์ 6 คัน รถฟอร์ด และรถมาสด้า โดยทั้งหมดจดทะเบียนในชื่อบุคคลใกล้ชิดของพระคึกฤทธิ์ ซึ่งมูลนิธิฯ ขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินว่าเกี่ยวข้องกับเงินวัดหรือไม่
นายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า การร้องเรียนครั้งนี้มีหลักฐานอ้างอิงจากรายการ PHUTTA TALK ที่ออกอากาศทางยูทูบ เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 2568 โดยมีการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่วัดนาป่าพง ซึ่งยอมรับว่ามีการแจกโบนัสบางส่วนจริง นอกจากนี้ยังมีสำเนารายการเดินบัญชีของบุคคลทั้ง 4 คน พบการโอนเงินจากบัญชีวัดเข้าสู่บัญชีส่วนตัว รวมกว่า 6 ล้านบาท รวมถึงเอกสารเส้นทางการเงินของบุคคลใกล้ชิดที่รับโอนเงินจากบัญชีวัด
นายอนันต์ชัย กล่าวอีกว่า การโอนเงินระหว่างวัดและมูลนิธิถือว่าขัดต่อกฎหมาย เพราะวัดเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน ขณะที่มูลนิธิเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแพ่ง ทั้งสองไม่สามารถนำเงินมาใช้ร่วมกันได้โดยไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานชัดเจน โดยเฉพาะเงินบริจาคและเงินกฐิน ต้องบริหารจัดการตามกฎกระทรวง และการเบิกถอนต้องมีลายเซ็นของเจ้าอาวาสหรือไวยาวัจกรที่ได้รับมอบหมาย แต่หลักฐานพบว่า บัญชีของวัดนาป่าพงมีเพียงพระ 2 รูปเป็นผู้เบิกจ่ายโดยไม่มีไวยาวัจกรร่วมลงชื่อ ซึ่งอาจไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด
"การร้องเรียนครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้ง แต่เป็นการใช้สิทธิ์ตามกฎหมายให้ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา หากพระคึกฤทธิ์บริสุทธิ์ ก็จะสร้างความเชื่อมั่นแก่ศิษยานุศิษย์และประชาชน แต่หากพบการกระทำผิด ก็ควรดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และ 157 ว่าด้วยความผิดฐานยักยอกทรัพย์และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ"นายอนันต์ชัย กล่าว