ตำรวจสืบสวนนครบาล จับกุมหัวหน้าแก๊งล้วงกระเป๋านักท่องเที่ยว เอาบัตรเครดิตไปรูด ได้คาโรงแรมดังย่านรัชดา พบเชื่อมโยง “อาเหว่ย” บอสคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน
วันนี้ (20 ม.ค.) พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. เปิดเผยว่า จากการขยายผลแก๊งล้วงกระเป๋านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติภายในวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา พบว่า มีการนำบัตรเครดิต ที่ลักมาไปรูดใช้งาน ถือว่าเป็นภัยสังคมที่กำลังพัฒนาเป็นขบวนการ ไม่ใช่แค่หัวขโมย ที่มาขโมยบัตรเครดิตของเหยื่อแล้วแอบนำไปรูดบัตรเครดิต เท่านั้น แต่พัฒนาโดยวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน
ล่าสุด พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น.สั่งให้แกะรอยจนทราบหัวหน้าขบวนการชื่อนายฤทธิ์ ก่อนนำกำลังบุกพังประตูเข้าไปจับกุมตัวได้ขณะกำลังพยายามลบข้อมูลในโทรศัพท์ พบเครื่องมือรูดบัตรเครดิตและยาเสพติดหลายรายการ และขยายผลพบรังปลวกที่เชื่อมโยงไปถึง “อาเหว่ย” บอสคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. สั่งการให้ บช.น. สืบสวนและจับกุมขบวนการดังกล่าวโดยเร็ว เนื่องจากกระทบภาพลักษณ์ของประเทศ และสร้างความเดือดร้อนให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ตลอดจนเป็นสถานที่ชาวไทยให้ความสำคัญ
กระทั่งเมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สืบนครบาล และชุด PCT5 ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัว นายวรงค์ฤทธิ์ หรือ ฤทธิ์ อายุ 46 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ จ.420/2566 ลงวันที่ 24 ต.ค. 66 ข้อหา “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย และเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนโดยไม่ได้รับอนุญาต และพยายามส่งของต้องห้ามออกไปนอกราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดหรือข้อห้ามอันเกี่ยวกับของนั้น” น.ส.จิราภา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาที่ 2 และ น.ส.มนัสนันท์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 3 ทั้งหมดถูกเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมแจ้งข้อหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์หรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์หรือเมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย” พร้อมของกลาง 6 รายการ ดังนี้ ยาไอซ์ 3 ถุง จำนวนทั้งสิ้น 4.6 กรัม เครื่องรูดบัตรเครดิต 4 เครื่อง สลิปการใช้บัตรเครดิต 30 ใบ โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง พบข้อมูลการนัดหมายรูดบัตรกับกลุ่มผู้ขโมยบัตรจำนวนมาก และสมุดจดบันทึก 2 เล่ม (พบข้อมูลผู้ร่วมขบวนการอีกหลายราย ม้วนกระดาษสลิปโอนเงิน 1 ม้วน โดยจับกุมตัวได้ที่ห้อง 704 โรงแรมชื่อดังย่านรัชดา แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร
พฤติการณ์กล่าวคือ แก๊งล้วงกระเป๋าลักบัตรเครดิตของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ กำลังระบาดในสถานที่ท่องเที่ยว โดยขโมยบัตรเครดิตของเหยื่อแล้วแอบนำไปรูดสร้างความเสียหายกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางในสถานที่ต่างๆ และเป็นการทำเป็นขบวนการ มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ หามือขโมยบัตร เตรียมสถานที่ เตรียมเครื่องที่จะใช้รูดบัตร โดยในปัจจุบันหลายคดีๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่นครบาล พบว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุ (มือขโมยบัตร) จะเป็นชาวต่างชาติสัญชาติเวียดนาม จีน
จากนั้นได้สืบสวนแกะรอยจากแผนประทุษกรรม จนพบความผิดปกติที่กลุ่มผู้ลงมือก่อเหตุขโมยบัตรเกือบทั้งหมดเป็นชาวต่างชาติ วิเคราะห์จนสกัดออกมาได้ว่า มีขบวนการที่เป็นคนไทยที่อยู่เหนือกว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุนี้ จึงนำกำลังลงพื้นที่สืบสวนโดยแกะรอยจากกลุ่มชาวจีนจำนวน 3 ราย ที่ได้ลงมือก่อเหตุขโมยบัตรเครดิตภายจากนักท่องเที่ยวภายในวัดพระแก้ว เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา พบพยานหลักฐานไปถึงหัวหน้าขบวนการในประเทศไทย คือ นายวรงค์ฤทธิ์ หรือ ฤทธิ์ ซึ่งเป็นระดับหัวหน้าทำหน้าที่หาคน หาเครื่องรูดบัตร บ้างนำมาจากบริษัทที่จดทะเบียนขึ้นมาลอยๆ หรือนำมาจากห้างร้านทองหลายๆ แห่ง เพื่อนำมารวมกันไว้ในเซฟเฮาส์ห้องลับเพื่อใช้คอยรูดบัตรให้กับขบวนการนี้โดยเฉพาะ และยังสืบทราบว่า นายวรงค์ฤทธิ์ เป็นบุคคลตามหมายจับในข้อหาพยายามส่งออกยาเสพติดไปยังประเทศเกาหลีใต้
แต่จากการสืบสวนแกะรอยหัวหน้าขบวนการรายนี้นับว่าเป็นเรื่องยาก ด้วยความเขี้ยวของหัวหน้าขบวนการรายนี้ที่จะตัดตอนมิให้พยานหลักฐานเชื่อมโยงมาถึงตัว และไปมาอย่างไร้ร่องรอยมาเป็นเวลากว่า 4 ปี ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง คอยตระเวนเปิดโรงแรมนอนและย้ายไปเรื่อยๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ หลังจากแกะรอยกว่า 1 สัปดาห์ จนได้เบาะแสว่าคนร้านรายนี้ได้ปรากฏตัวที่ละแวก ซ.เสือใหญ่ จึงนำกำลังติดตามไปจนพบเซฟเฮ้าส์ ที่ใช้เก็บอุปกรณ์เครื่องรูดบัตรไว้
จนกระทั่ง พล.ต.ต.ธีรเดช นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุด สืบนครบาล และ PCT5 บุกเข้าไปตรวจสอบห้องพักหมายเลข 704 ของโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งย่านรัชดา และจับกุมหญิงสาวผู้ร่วมขบวนการอีก 2 รายในห้อง ตรวจยึดของกลางยาเสพติดและอุปกรณ์ใช้รูดบัตรเครดิตได้หลายรายการ ซึ่งภายหลังการจับกุม ได้มีการขยายผลจนพบหลักฐานว่าขบวนการนี้ไม่เพียงแต่เป็นแก๊งขโมยรูดบัตรเครดิต ยังพบหลักฐานเตรียมฉ้อโกงธนาคารด้วยการวางแผนอย่างเป็นระบบ หาคนโปรโฟล์ดี มีคุณสมบัติไม่ติด เครติดบูโร และต้องพร้อมโดนฟ้องล้มละลาย โดยจะนำมาตกแต่งบัญชีให้สวยหรู เพื่อตบตาธนาคารให้ยอมปล่อยกู้ แต่หลังจากธนาคารปล่อยกู้แล้ว จะใช้วิธีไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย สร้างความเสียหายเป็นเงินจำนวนมาก และยังเป็นขบวนการสวมตัวตนให้กับชาวต่างชาติ โดยทั้งหมดเชื่อมโยงกับ “อาเหว่ย” บอสคอลเซ็นเตอร์ชาวจีน
นายวรงค์ฤทธิ์ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนเองประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว เปิดโรงแรม HOSTEL ย่านราชเทวี และเป็นนายหน้าขายที่ดินในพื้นที่กรุงเทพและต่างจังหวัด และเป็นนายหน้าขายรถยนต์มือสองในพื้นที่ กทม. ก่อนจะประสบวิกฤติการณ์การแพร่ระบาดของโควิด เป็นเหตุให้ธุรกิจเจ๊งและปิดตัวลง จนกระทั่งช่วงปลายเดือน พ.ย. 66 ได้มีโอกาสรู้จักกับ “อาเหว่ย” สัญชาติจีน โดยให้ตนเป็นคนประสาน ติดต่อ และจัดหาเครื่องรูดบัตรเครดิตจากร้านค้าทั่วไปให้แก่อาเหว่ย ซึ่งมีเพื่อนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่เดินทางมาเที่ยวในไทย อยากจะเปลี่ยนวงเงินในบัตรเครดิตที่ถืออยู่ให้เป็นเงินสด โดยผ่านจากเครื่องรูดบัตร เพื่อใช้สอยในระหว่างที่เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทย
โดยตกลงจะให้ค่าตอบแทนร้อยละ 25-30 ของจำนวนเงินที่สามารถกดได้จากบัตร ตนจึงไปติดต่อพรรคพวกที่รู้จัก ซึ่งเป็นโรงแรม ร้านค้า ร้านประกอบการค้า ที่สามารถนำเครื่องรูดบัตรมาให้ได้ อาทิ และธุรกิจ ขอนำเครื่องรูดบัตรเครดิต มารูดเป็นสินค้าและบริหารของทางร้านภายในวงเงินที่รูดได้ จากนั้นจึงจะทำการเจรจาและตกลงกับทาง เจ้าของร้านค้าและบริการ ดำเนินการคิดและหักค่าดำเนินการในการอนุญาตนำเครื่องรูดบัตรออกมาใช้โดยผิดรูปแบบและวัตถุประสงค์เป็นร้อยละ 25-30 โดยที่ผู้ต้องหาจะได้รับค่าตอบแทนประมาณร้อยละ 5-10 ของวงเงินที่สามารถรูดบัตรได้ จนกระทั่งพรรคหลังเริ่มทราบว่าแท้จริงเป็นขบวนการที่นำบัตรเครดิตมาจากการขโมย โดยรวมทั้งหมดแล้วไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 1,600,000-3,000,000 บาท หลังจับกุมตัว ได้นำตัว นายวรงค์ฤทธิ์ พร้อมกับผู้ร่วมขบวนการอีก 2 คน พร้อมของกลางยาเสพติด นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ส่วนของกลางจำพวกเครื่องรูดบัตร และอื่นๆ ได้นำส่งพนักงานสอบสวน สน.พระราชวัง เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายและขยายผลต่อไป