MGR Online - สำนักงาน ปปง. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ดำเนินการกับทรัพย์สิน 996 รายการ มูลค่าทรัพย์สินกว่า 1,191 ล้านบาท ผู้เสียหายยื่นขอคุ้มครองสิทธิได้ตามกฎหมาย
วันนี้ (12 ธ.ค.) เวลา 10.00 น. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. พร้อม นายวิทยา นีติธรรม โฆษก ปปง. , พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. , นายสุริยน ประภาสะวัต อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด , พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก. , พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ พ.ต.ท.จักร จุลกะรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสืบสวนสอบสวนทางการเงิน รรท. ผู้อำนวยการกองคดี 3 สำนักงาน ปปง. ร่วมแถลงผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ดำเนินการกับทรัพย์สิน 996 รายการ 35 รายคดี มูลค่ากว่า 1,191 ล้านบาท
นายวิทยา กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 12/2566 เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.66 คณะกรรมการธุรกรรมได้พิจารณาเห็นชอบให้ดำเนินการกับทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด สรุปดังนี้ ยึดและอายัดทรัพย์สิน จำนวน 20 รายคดี ทรัพย์สิน 769 รายการ พร้อมดอกผล มูลค่าประมาณ 1,071 ล้านบาท เป็นทรัพย์สินเกี่ยวกับความผิดมูลฐานยาเสพติด ฉ้อโกงประชาชนหรือการฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ และการลักลอบหนีศุลกากร คดีสำคัญ เช่น
รายคดี นายประสิทธิ์ฯ หรือชาญชัยฯ หรือ “เหว่ย เซี๊ยะกัง” กับพวก ซึ่งมีพฤติการณ์เกี่ยวกับการผลิตและลักลอบจำหน่ายยาเสพติด นำเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติดไปประกอบธุรกิจบังหน้า ด้วยการเปิดธุรกิจจำหน่ายเพชรพลอย และกิจการประเภทต่างๆ โดยมีคำสั่งยึดทรัพย์สินที่ไว้ชั่วคราว (ยึดเพิ่มเติม) 25 รายการ (เงินสด พระเครื่องและวัตถุมงคล) พร้อมดอกผล มูลค่าประมาณ 2 แสนบาท
รายคดี นายฉี ซู (MR.QU XI หรือ MR.XU QI) กับพวก เป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน การมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและความผิดฐานฟอกเงิน กรณีกลุ่มจีนเทาร่วมกันหลอกลวงให้ผู้เสียหายลงทุนและโอนเงินไปลงทุนคริปโตเคอร์เรนซี ผ่านแอปพลิเคชันปลอมชื่อ “Cboe Global Markets” รวมทั้งทรัพย์สินของ น.ส.จักรีณาฯ (กีกี้ แม็กซิม) โดยมีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินชั่วคราว 133 รายการ (เงินสด ทองรูปพรรณ สินค้าแบรนด์เนม รถยนต์ ที่ดินพร้อม สิ่งปลูกสร้าง และเงินในบัญชีเงินฝาก) พร้อมดอกผล มูลค่าประมาณ 596 ล้านบาท
รายคดี นายรัฐกรณ์ฯ กับพวก เป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระและความผิดฐานฟอกเงิน กรณีหลอกลวงร่วมลงทุนซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยอ้างว่าได้โควตาสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวนมากและราคาถูกกว่าท้องตลาด โดยมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินไว้ชั่วคราว 9 รายการ (นาฬิกา กระเป๋า เครื่องประดับ รถยนต์ และที่ดิน) พร้อมดอกผล มูลค่าประมาณ 12 ล้านบาท
รายคดี บริษัท วัน บ็อกซ์ โฮม จำกัด กับพวก กรณีไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาร่วมผลิตและกระจายสินค้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเบียดบังกล่องสัญญาณดิจิทัลและอุปกรณ์ ซึ่งเหลือจากการที่ประชาชนนำคูปองไปแลก และนำเข้าระบบของสำนักงาน กสทช. ไม่คืนกล่องสัญญาณดิจิทัลทีวีและอุปกรณ์ แต่กลับนำไปขายทางอินเทอร์เน็ต โดยให้ยึดและอายัดทรัพย์สินไว้ชั่วคราว 23 รายการ (ที่ดิน กองทุน และเงินในบัญชีเงินฝาก) พร้อมดอกผล มูลค่าประมาณ 180 ล้านบาท
รายคดี น.ส.เดือนนภาฯ กับพวก เป็นขบวนการหลอกลวงประชาชนหรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้วิธีการสุ่มใช้โทรศัพท์ติดต่อไปยังกลุ่มประชาชน โดยแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่หรือพนักงานของบริษัทขนส่งเอกชนหรือบริษัท ไปรษณีย์ไทย และหลอกให้โอนเงินเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ โดยมีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินไว้ชั่วคราว 51 รายการ (ที่ดิน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เครื่องประดับ และเงินในบัญชีเงินฝาก) พร้อมดอกผล มูลค่าประมาณ 60 ล้านบาท
รายคดี นายปริญญ์ฯ กับพวก เป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการจัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ กรณีดังกล่าวคณะกรรมการธุรกรรมมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์ไว้แล้วรวมกว่า 500 รายการ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง ในการนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลพบการโอน รับโอน เปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด โดยมีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินไว้ชั่วคราว จำนวน 363 รายการ (รถยนต์ พระเครื่อง นาฬิกา สินค้าแบรนด์แนม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตุ๊กตา BEARBRICK) พร้อมดอกผล มูลค่าประมาณ 140 ล้านบาท
ทั้งนี้ ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน จำนวน 10 รายคดี ทรัพย์สิน 147 รายการ พร้อมดอกผล มูลค่าประมาณ 57 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สินเกี่ยวกับความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากร และความผิดเกี่ยวกับการจัดให้มีการเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ตาม ได้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนผู้เสียหาย (คุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย) จำนวน 5 รายคดี ทรัพย์สิน 80 รายการ พร้อมดอกผล มูลค่าประมาณ 65 ล้านบาท ในความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน โดยมีข้อมูลรายคดีสำคัญ ดังนี้ รายคดี บริษัท ออสซี่ออยล์ จำกัด กับพวก โดยคณะกรรมการธุรกรรมเห็นชอบให้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนผู้เสียหาย มูลค่าประมาณ 32 ล้านบาท และดำเนินการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายจำนวน 400 ราย , รายคดี ห้างหุ้นส่วนจำกัด สถานีหลักสี่ กับพวก โดยคณะกรรมการธุรกรรมเห็นชอบให้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนผู้เสียหาย โดยดำเนินการกับทรัพย์สิน มูลค่าประมาณ 23 ล้านบาท ดำเนินการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายจำนวน 1,368 ราย และ รายคดี น.ส.ปภาสิภัคฯ กับพวก (สหกรณ์ออมทรัพย์ค่ายอิงคยุทธบริหาร จำกัด) โดยคณะกรรมการธุรกรรมเห็นชอบให้ส่งเรื่องให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่ง ให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนผู้เสียหาย มูลค่าประมาณ 9 ล้านบาท และดำเนินการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายจำนวน 1 ราย (สหกรณ์ออมทรัพย์ค่ายอิงคยุทธบริหาร)
อนึ่ง โดยที่การดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เป็นมาตรการทางแพ่งมิใช่โทษทางอาญา และการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับคำสั่ง ยึดหรืออายัดเป็นการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ อันเป็นการแจ้งให้ประชาชนทั่วไปได้รับทราบและให้ผู้ที่เป็นเจ้าของหรือมีส่วนได้เสียที่ถูกกระทบสิทธิจากคำสั่งยึดหรืออายัดทรัพย์สินสามารถเข้ามาโต้แย้งเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งยึดหรืออายัด อีกทั้งเป็นการป้องกันมิให้บุคคลภายนอกผู้สุจริตเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือกระทำการใดๆ ต่อทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดซึ่งมีความเสี่ยงที่จะกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวอีกด้วย
ด้าน นายเทพสุ ระบุว่า สำนักงาน ปปง. จะประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อแจ้งให้ผู้เสียหายยื่นคำร้องพร้อมหลักฐานแสดงรายละเอียดแห่งความเสียหายภายใน 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทางเว็บไซต์สำนักงาน ปปง. www.amlo.go.th. และเมื่อรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผู้เสียหายและความเสียหายเสร็จสิ้นแล้ว จะเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการธุรกรรมเพื่อพิจารณาส่งเรื่องเพิ่มเติมให้พนักงานอัยการเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้นำทรัพย์สินไปคืนหรือชดใช้คืนให้แก่ผู้เสียหาย (คุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย) ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ต่อไป
ส่วนทาง พล.ต.ท.วรวัฒน์ เผยว่า สอท. ร่วมกับ ปปง. ดำเนินการยึดทรัพย์เพื่อเฉลี่ยคืนทรัพย์สินแก่ผู้เสียหาย โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะส่งไปรษณีย์หลอกผู้เสียหายว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายและให้โอนเงินไปตรวจสอบ โดยกลุ่มคนร้ายจะใช้บัญชีม้าซึ่งเจ้าของบัญชีตัวจริงติดอยู่ในเรือนจำแต่เครือข่ายนำไปใช้กันหลอกโอนเงินต่อ ส่วนใหญ่ความเสียหายอยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน หลังจากนี้จะขยายผลยึดทรัพย์อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ พล.ต.ต.โสภณ ระบุว่า คนร้ายปลอมเฟซบุ๊กใช้รูปภาพสาวหน้าตาดีหลอกลงทุนคริปโตเคอร์เรนซี กระทั่งติดตามจับผู้ต้องหาซึ่งเป็นสามี น.ส.กีกี้ แม็กซิม เบื้องต้นจับกุมได้ 13 ราย อยู่ระหว่างหลบหนี 4 ราย ส่งฟ้องชั้นอัยการแล้ว หลังจากนี้จะตามจับกุมคนร้ายที่เหลือและสืบทรัพย์สินที่ยังเหลืออยู่