“เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ส่งทนายความยื่นฟ้อง “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” หมิ่นประมาทปมซื้อขายที่ดินอาจเข้าข่ายเลี่ยงภาษี ทำให้รัฐเสียรายได้ เรียกค่าเสีย 500 ล้านบาท ยันไม่เจตนากลั่นแกล้งคนป่วย แต่เมื่อทำผิดต้องดำเนินการตามกฎหมาย
เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ (7 ส.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความซึ่งได้รับมอบอำนาจจากนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย (พท.) ยื่นฟ้อง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาและขอให้ลบโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก
จากกรณีที่ นายชูวิทย์ เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ และระบุว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดย นายเศรษฐา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ซื้อขายที่ดินกับเอกชนและมีพฤติการณ์การหลีกเลี่ยงภาษี
นายวิญญัติ กล่าวว่า วันนี้ตนในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายเศรษฐา ซึ่งเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง ประชาชนรับทราบ ที่สำคัญยังมีตำแหน่งเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้มาดำเนินการฟ้องร้องนายชูวิทย์
ตนไม่ได้มีเจตนาจากกลั่นแกล้งคนป่วยหรือซ้ำเติมคนที่บอกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ตนในฐานะเพื่อนมนุษย์ของนายชูวิทย์ ขอยืนยันว่า ไม่มีเรื่องส่วนตัวอะไรขอให้กำลังใจนายชูวิทย์ต่อสู้กับโรคที่เผชิญอยู่ แต่ขอให้อย่าลืมว่าการกระทำใดๆ ไม่ว่าจะป่วยหรือเป็นคนที่ปกติ หากการกระทำเข้าข่ายผิดกฎหมายจะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย
นายวิญญัติ กล่าวต่อว่า นายเศรษฐา ในฐานะผู้ที่ได้รับความเสียหายต้องมาฟ้องร้องเป็นการทำไปเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง ทั้งนี้นายชูวิทย์ได้มีการกล่าวถ้อยคำชัดเจนและมีลักษณะใส่ความว่า นายเศรษฐา สมคบคิดกับผู้ขายเพื่อหลบเลี่ยงภาษีทำให้รัฐเสียรายได้ไปกว่า 500 กว่าล้านบาท ส่วนนี้จึงเป็นมูลเหตุในการฟ้องนายชูวิทย์
นายชูวิทย์ อาจจะระบุว่า การแถลงข่าวขณะนั้นเป็นการใช้สิทธิประชาชนตรวจสอบนายเศรษฐา ตามสิทธิรัฐธรรมนูญก็สามารถระบุได้ แต่ทั้งนี้ตนอยากจะบอกว่าการใช้สิทธิ เสรีภาพต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย การที่นายชูวิทย์แถลงข่าวในวันนั้นนอกจากมีการใช้สื่อประกอบเป็นโครงสร้าง แผนผัง แสดงแล้วยังมีบุคคลที่ 3 จำนวนมากที่ถูกพาดพิง
สาระสำคัญของวันนั้นและวันนี้ ที่ตนจะสื่อสารคือนายชูวิทย์ได้กล่าวข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน และเป็นข้อเท็จจริงที่จงใจปกปิดหรือจงใจทำให้คนเข้าใจผิดหรือไม่ นี่คือข้อกล่าวหาที่ตนในฐานะตัวแทนมายื่นฟ้อง เพราะเราเห็นว่านายชูวิทย์มีเจตนาใส่ความให้เกิดความเสียหายอย่างชัดเจน
ข้อเท็จจริงที่เป็นความจริงที่ตนรับรู้และรับทราบ ซึ่งทางบริษัท แสนสิริ ได้ชี้แจงไปก่อนหน้านี้ ว่า การได้ที่ดินของผู้ถือหุ้นทั้ง 12 คน เป็นการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ไม่พร้อมกันเป็นไปตามคำสั่งของกรมสรรพากร ซึ่งนายชูวิทย์ไม่ได้ระบุถึงในส่วนนี้ให้ชัดเจนว่าบริษัทแสนสิริ มีการซื้อที่ดิน จากผู้ถือหุ้นที่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาไม่พร้อมกัน เพียงแต่ระบุว่ามีการโอนขายให้บริษัทแสนสิริไม่พร้อมกัน
จากนั้น นายวิญญัติ ได้แสดงข้อมูล แผนผังภายหลังที่บริษัทเอกชนเลิกกิจการและมีการโอนที่ดินให้กับผู้ถือหุ้นทั้ง 12 ราย ซึ่งมีรายละเอียดวันที่แต่ละรายไม่พร้อมกัน พร้อมกล่าวว่าผูเถือหุ้นแต่ละคนจึงต้องมีการแยกชำระ แยกทำนิติกรรม เรื่องนี้ทางทีมพร้อมจะไปพิสูจน์ในศาล หรือให้เวลาชูวิทย์ได้แก้ตัวได้
ตามโครงสร้างที่ตนได้เสนอนั้นคนที่มีหน้าที่เสียภาษี คือ ผู้ขายที่ดิน เพราะมีการตกลงกันตามเอกเทศสัญญาทั้งนี้คนซื้อคนขายจะตกลงกันอย่างไรก็ได้ คนขายตัดสินใจทำวิธีนี้และแจ้งคนซื้อซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าได้ดำเนินการทั้งหมดได้เสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา
ส่วนกรณีที่ นายชูวิทย์ ระบุถึงเส้นบางๆ ระหว่างจริยธรรมเรื่องการวางแผนภาษี กับ การเลี่ยงภาษี ที่ไม่เหมือนกัน ในเรื่องนี้ตนเห็นด้วยแต่ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การเลี่ยงภาษีแต่เป็นการวางแผนภาษี ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายไม่ใช่การสมรู้ร่วมคิดกระทำการผิดกฎหมายเพื่อทำให้รัฐเสียประโยชน์
จากนั้น นายวิญญัติ ได้ระบุว่า นายชูวิทย์ เคยถูกระงับสิทธิเลือกตั้ง เคยประกอบกิจการอาบอบนวด เคยรับโทษจำคุก เคยต้องโทษคำพิพากษาเกี่ยวกับการปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน และอยู่ระหว่างการต้องห้ามไม่ให้ ปฏิบัติหน้าที่ทางการเมือง แต่นายเศรษฐาไม่เคยติดยาเสพติด ไม่เคยเป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่เคยถูกระงับการใช้สิทธิเลือกตั้ง และ ถูกตัดสินรับโทษจำคุก
นายวิญญัติ กล่าวต่อว่า การที่นายชูวิทย์ออกมากล่าวหานายเศรษฐา ก่อนถึงวันประชุมรัฐสภามีเจตนาคืออะไร ถ้ามีเจตนาตรวจสอบก็ว่าไป แต่การกระทำให้แคนดิเดตอันดับ 1 ของพรรคเพื่อไทยที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกรัฐสภาเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกมองว่าเป็นคนโกงภาษีไม่มีความเหมาะสมเป็นนายกฯ อันนี้คือเจตนาที่เราเห็นว่า นายชูวิทย์ ไม่สามารถปฏิเสธได้
ในเรื่องนี้มีการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งด้วยเนื่องจากเข้าข่ายเป็นการละเมิดขายข่าวแพร่หลาย ฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง โดยมีการเรียกค่าเสียหาย 500 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ตนได้ยื่นฟ้องแล้ว นัดไต่สวนวันที่ 9 ต.ค.นี้ วันนั้นจะมีพยานบุคคล 7-8 ปาก และพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องมาแสดงต่อศาล
นายวิญญัติ กล่าวในช่วงท้ายว่า ตนได้รับข้อมูลว่ามีบริษัทหนึ่งที่มีลูกของนายชูวิทย์เป็นคณะกรรมการ มีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ชื่อ บริษัทสมบัติเติมตระกูล จำกัด ตนขอให้นายชูวิทย์ระวังการตรวจสอบเรื่องนี้ให้ดีเพราะมีคนจับตาดูอยู่ บริษัทนี้ทำอะไร และกำลังมีผู้จับตา
สุดท้าย นายวิญญัติ กล่าวยืนยันว่า นายเศรษฐา ไม่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการซื้อขายที่ดินใดๆ แม้ที่กล่าวอ้างว่า นายเศรษฐามีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่หรือตำแหน่งใดก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผู้บริหารทำนิติกรรมด้วยตัวเองเป็นหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อ ผู้บริหารทำเพียงแค่พิจารณาหลักการเท่านั้น
ขณะที่ นายชูวิทย์ พร้อมด้วย นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ เดินทางมาให้สัมภาษณ์ ประเด็น นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย กรณีเคยมีการเลี่ยงภาษี
นายชูวิทย์ กล่าวว่า รู้สึกขนลุกตอนนี้ตนมี 21 คดีแล้ว ที่ผ่านมา การเปิดโปงต่างๆ ก็ทำเพื่อชาติบ้านเมือง นายเศรษฐา ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ และกำลังเสนอตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน นายเศรษฐา มีความเป็นนายทุนเมื่อเป็นนายทุน ได้ใช้รถไฟความเร็วสูงสายยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าไปในพรรคเพื่อไทย แต่คุณสมบัติของนายเศรษฐา เป็นสิ่งที่ประชาชนอย่างตนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ เพราะหากอ้างอิงตามรัฐธรรมนูญในมาตรา 160 บุคคลที่เป็นนายกฯ จะต้องมีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ ประเด็นนี้ตนได้ปรึกษาทนายมาเสมอว่า คุณสมบัติ ความซื่อสัตย์ คือ ความหมายเดียวกันหรือไม่ และคุณสมบัติในที่นี่เป็นการพูดถึงเรื่องในอดีต, ปัจจุบัน หรือ อนาคต
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ก่อนที่ นายเศรษฐา จะเป็นนายกฯ จะต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ห้ามมีพฤติการณ์น่าสงสัย พฤติกรรมของเศรษฐามาจากการวางแผนกระทำการร่วมมือสนับสนุนในฐานะผู้ซื้อ และมีผู้ขายที่เป็นคู่สัญญาทำการหลบเลี่ยงภาษี