"ชูวิทย์" นำหลักฐานแฉ "เศรษฐา ทวีสิน" แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และบริษัทแสนสิริ กรณีที่ซื้อขายที่ดิน 1 ไร่ 1 ตาราวาง ติดถนนสารสิน จากบริษัทประไพทรัพย์ แต่เปลี่ยนวิธีการโอนที่ดินเป็นการโอนแยกตามจำนวนผู้ถือหุ้น โดยมีตัวแทนกรมฯ มารับเรื่องแทน รับไปตรวจสอบ
วันนี้ (4 ส.ค.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมือง นำหลักฐานประกอบด้วยเอกสารการโอนที่ดิน เอกสารการประชุม ใบเสร็จ และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง มอบให้ นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ตรวจสอบพฤติกรรมของ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และบริษัทแสนสิริ กรณีซื้อขายที่ดิน 1 ไร่ 1 ตาราวาง ติดถนนสารสิน จากบริษัทประไพทรัพย์ แต่เปลี่ยนวิธีการโอนที่ดินเป็นการโอนแยกตามจำนวนผู้ถือหุ้น 12 คน 12 วัน // ซึ่งกรณีนี้นายชูวิทย์ตั้งข้อสังเกตว่าเข้าข่ายการหลีกเลี่ยงภาษี 500 กว่าล้านบาทที่รัฐควรจะได้หรือไม่ และให้ตรวจสอบพฤติกรรมของนายเศรษฐาที่เกี่ยวข้องกับนิติกรรมอำพรางอื่น ๆ ด้วย
นายชูวิทย์บอกว่าที่ออกมาพูดตอนนี้เพราะนายเศรษฐากำลังจะได้รับเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี จึงอยากถามประชาชนว่าอยากได้นายกฯ แบบไหน แบบเลี่ยงภาษีหรือไม่ แม้นายเศรษฐาจะอ้างว่ามีหน้าที่เซ็นอนุมัติเพียงอย่างเดียว ไม่มีส่วนรู้เห็นในรายละเอียดการโอน จึงอยากถามว่าหากนายเศรษฐาได้เป็นนายกฯ และเซ็นอนุมัติโครงการบางอย่างไป แต่ไม่รับผิดชอบผลที่จะตามมาได้หรือไม่ ให้ลองไปถาม นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เซ็นอนุมัติโครงการจำนำข้าวดู
ซึ่งกรณีการซื้อขายที่ดินในในครั้งนี้ แม้นายเศรษฐาจะอ้างว่าผู้ขายเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการเสียภาษีแต่เพียงผู้เดียวและเป็นผู้เสนอเปลี่ยนแปลงวิธีการโอนเงินเอง แต่ในฐานะที่บริษัทแสนสิริเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับต้น ๆ ของประเทศ และผ่านการซื้อขายที่ดินมามากมาย เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าการโอนที่ดินแยกเป็นการหลีกเลี่ยงภาษี และเมื่อรู้แล้วว่าเป็นวิธีที่ผิดกฎหมายแต่ยังทำตามที่ผู้ขายบอก และยังทำธุรกรรมร่วมกัน และยังแยกรายงานการประชุมจาก 1 ฉบับ เป็นรายงานฉบับย่อย คัดย่อตามรายชื่อ 12 คน 12 ฉบับ และยังมัดจำที่ดิน 50-52% ซึ่งเป็นเงินมัดจำที่สูงกว่าปกติและไม่ใช่ตัวเลขกลม ๆ ส่วนตัวจึงเชื่อว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินบวมหรือเงินทอนที่เข้ากระเป๋าคนที่ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน ซึ่งทั้งหมดถือว่านายเศรษฐามีส่วนร่วมในการกระทำความผิด และเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องมีพนักงานกรมที่ดินมีส่วนรู้เห็น สมคบคิดให้ทำผิดแน่นอน เพราะแม้แต่ธนาคารยังไม่กล้าปล่อยกู้ให้ในช่วงแรก แต่มาปล่อยกู้ให้หลังมีการมัดจำที่ดินและนำไปจำนอง ยืนยันราคาที่ดินตารางวาละ 4 ล้านบาท ที่ซื้อในปี 2562 เป็นราคาที่สูงกว่าราคาประเมิน แม้ว่าราคาซื้อขายจริงอาจจะสูงกว่าราคาประเมิน แต่ไม่มีทางสูงถึง 4 ล้านบาทแน่นอน เชื่อว่าเป็นการปั่นราคาที่ดิน ซึ่งคดีนี้ไม่มีอายุความ มีโทษทั้งปรับและจำคุก ต่างกรรมต่างวาระ เมื่อมีการโอนเงินให้ 12 คน 12 วัน ก็จะต้องได้รับโทษทั้ง 12 กรรม
นายชูวิทย์จึงแนะนำให้นายเศรษฐาถอยจากการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีดีกว่า เพราะไม่มีคุณสมบัติและไม่เหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี โดยพรรคเพื่อไทยยังเหลือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีก 2 คน คือ นางสาว แพทองธาร ชินวัตร และ นายชัยเกษม นิติเสรี ซึ่งหากนายเศรษฐายังดึงดันที่จะเป็นนายกฯ ต่อไป มีปัญหาแน่นอน เพราะตนยังมีเรื่องที่ต้องแฉนายเศรษฐาอีก 9 ตอน ไม่รอดแน่นอน และยืนยันตอนต่อไปที่จะแฉน่าติดตามและตื่นเต้นกว่าตอนที่ผ่านมาแน่นอน
ซึ่งหลังจากนี้จะไปยื่นเอกสารหลักฐานให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ตรวจสอบพฤติกรรมของบริษัทแสนสิริว่ามีพฤติกรรมผิดธรรมาภิบาลหรือไม่
นายชูวิทย์ บอกว่าตอนนี้รักษาอาการป่วยด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งแพทย์แจ้งว่ามีเวลาอีกไม่เกิน 8 เดือน ซึ่งได้แนะนำให้ปฏิบัติตัวเหมือนคนป่วยปกติ แต่ส่วนตัว เห็นว่าสิ่งที่หมอแนะนำไม่ได้ช่วยให้หายจากโรคมะเร็ง จึงขอเลือกใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายให้แตกต่างจากคนอื่นอย่างมีความสุข ใช้ชีวิตทุกวันให้เหมือนวันสุดท้าย แม้กระทั่งการดื่มแอลกอฮอล์ ดูดบุหรี่ หรือการออกมาแฉ ล้วนทำด้วยความเต็มใจ ทำประโยชน์ให้ประเทศและให้สังคม เพราะอาการป่วยของตนไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งที่ทำอยู่
นายกิตติพล สิงห์ทน หัวหน้าส่วนประชาสัมพันธ์ รักษาราชการแทนเลขานุการกรมสรรพากร เป็นผู้แทนรับหนังสือแทนอธิบดีฯ เปิดเผยว่าจะขอไปตรวจสอบเอกสารทั้งหมดก่อนว่าเข้าข่ายหลีกเลี่ยงภาษีหรือไม่ ส่วนตัวเรียกนายเศรษฐาหรือผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงหรือไม่ต้องดูเอกสารหลักฐานที่นายชูวิทย์ส่งมาก่อน