“ชูวิทย์” แฉยับ “เศรษฐา ทวีสิน” ว่าที่นายกฯ คนที่ 30 หลีกเลี่ยงภาษีซื้อขายที่ดิน ทำรัฐเสียหายหลายร้อยล้าน พร้อมเผยตนเองอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ขอทำเพื่อประเทศชาติ ด้าน เรืองไกร โผล่เซอร์ไพรส์ อ้างอยากได้ข้อมูลที่นายชูวิทย์แถลง อาจไปหาข้อมูลยื่นร้องต่อ
วันนี้ (3 ส.ค.) ที่โรงแรมเดวิส สุขุมวิท 24 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าว เปิดเผยข้อมูลสำคัญของนายเศรษฐา ทวีสิน ว่าที่นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย มีพฤติการณ์หลบเลี่ยงภาษีจากการซื้อที่ดินทำรัฐเสียหายนับหลายร้อยล้านบาท
นายชูวิทย์เปิดฉากแฉ โดยการนำหลักฐานการซื้อขายที่ดินของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยเป็นการซื้อขายที่ดินย่านถนนสารสิน เนื้อที่ 1 ไร่เศษ ราคากว่า 1,570 ล้านบาท เมื่อปี 2562 ซึ่งเป็นที่ดินตารางวาละ 1 ล้านบาท ที่ชูวิทย์อ้างว่าแพงที่สุดในประเทศไทย แต่มีการประเมินซื้อขายของบริษัทตารางวาละ 4 ล้านบาท มีการหลบเลี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทำให้รัฐขาดรายได้ไปกว่า 521 ล้านบาท ถือเป็นการทำนิติกรรมอำพราง มีการแบ่งโอนที่ดินทั้งแปลงเป็น 12 วัน และให้มีผู้ซื้อขาย 12 คน โดยมีหลักฐานการโอนที่ดินในวันทำการติดต่อกันทั้ง 12 วัน จากเดิมที่ต้องเสียภาษีหากโอนที่ดินในวันเดียวเป็นเงินกว่า 580 ล้านบาท แต่ทางบริษัทเสียภาษีที่ดินเป็นเงินเพียง 59 ล้านบาท เท่านั้น
นายชูวิทย์บอกว่า การโอนที่ดินในลักษณะนี้เป็นการเลี่ยงเสียภาษีในฐานะห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน หรือคณะบุคคล เพราะต้องเสียจำนวนเงินเยอะกว่าการแยกจ่ายเป็น 12 วัน และยังเห็นว่ามีความผิดปกติในโฉนดที่ระบุถึงเงินมัดจำค่าที่ดินแต่ละวันไม่ตรงกัน ส่วนใหญ่ใช้เงินสดมากกว่าร้อยละ 50 ในการวางมัดจำ ซึ่งเป็นเงินครั้งละกว่า 200 ล้านบาท มองว่าผิดปกติ เพราะเงินจำนวนมากขนาดนี้จะต้องจ่ายด้วยเช็ค แต่ครั้งนี้เป็นเงินสด
นายชูวิทย์ยังมีหลักฐานการประชุมของบริษัทแสนสิริ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 ที่มีมติให้แยกโอนที่ดินรวม 12 วัน โดยมีการลงนามรับรองของ เศรษฐา ซึ่งบริษัทแสนสิริเป็นบริษัทมหาชน มีฝ่ายกฎหมายที่เชี่ยวชาญ จึงต้องรู้ช่องทางกฎหมายเป็นอย่างดี และเชื่อว่าหากนายเศรษฐาได้รับการเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะมีการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มนายทุน
ชูวิทย์ยังระบุว่า บริษัทแสนสิริไม่เคยซื้อที่ดินโดยตรงจากเจ้าของ แต่ให้บริษัทในเครือมาซื้อ แล้วก็ทำธุรกรรมอำพรางจนทำให้มีราคาที่ดินสูงขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทแสนสิริเคยมาติดต่อซื้อที่ดินของชูวิทย์ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท มาแล้ว แต่ไม่ขายให้เนื่องจากติดสัญญาซื้อขายกับบริษัทอื่นอยู่ คือบริษัทไดมอนด์แลนด์ และได้ขายไปให้กับบริษัทดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ยืนยันว่าไม่ได้แค้นใจที่แสนสิริไม่ซื้อที่ของตนเอง แต่ตนเองได้ตกลงกับบริษัทไดมอนด์แลนด์ไว้ก่อนแล้วไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองกับเศรษฐาเป็นการส่วนตัว แต่อยากให้ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีที่ซื่อสัตย์สุจริตตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160
หลังจากนี้จะนำเรื่องดังกล่าวส่งให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. กรมสรรพากร และประธานรัฐสภา ตรวจสอบความผิดปกติของการหลีกเลี่ยงภาษีของเศรษฐา ซึ่งถือว่าทำให้รัฐเสียหายกว่า 521 ล้านบาท ต่างจากกรณีของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แม้ว่าจะถูกกล่าวหาว่าถือครองหุ้นสื่อ 42,000 หุ้น แต่ยังไม่ทำความเสียหายให้แก่ประเทศ
ชูวิทย์บอกด้วยว่า จะเตรียมนำเรื่องดังกล่าวไปยื่นให้ ส.ว.พิจารณาในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และนำเรื่องเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรให้พิจารณา
ชูวิทย์ยังระบุว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ในไทยมักจะหลีกเลี่ยงภาษีด้วยวิธีนี้ แต่บริษัทแสนสิริทำเยอะกว่าบริษัทอื่น จึงไม่เห็นด้วยที่จะเสนอให้นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เห็นว่า ชัยเกษม นิติสิริ ที่ยังมีชื่อเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มีความเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นผู้มีความรู้ทางกฎหมาย และมีอายุมากแล้วคงไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ส่วนนางสาวแพทองธาร ชินวิตร นั้นตนเห็นว่ายังมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในการทำทุกอย่างให้ ทักษิณ ผู้เป็นบิดาได้กลับไทย
สำหรับการออกมาเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ นายชูวิทย์ยืนยันว่าเป็นการแฉเพื่อชาติ และเป็นเพียงเรื่องแรก ยังมีอีก 11 เรื่องที่ยังรอการเปิดเผย ซึ่งได้ตั้งชื่อเรื่องไว้ทั้งหมดแล้ว และยังได้กล่าวต่อหน้าสื่อมวลชนอีกว่า ตนเองไปหาหมอมาเมื่อช่วงเช้าเพื่อไปทำคีโม อาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ขอทำเพื่อประเทศชาติ
ภายหลังนายชูวิทย์แถลงข่าวเสร็จสิ้น ปรากฏว่า นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์ด้วย โดยนายเรืองไกรให้สัมภาษณ์แก่นักข่าวว่า จะนำข้อมูลที่ชูวิทย์นำเสนอไปวิเคราะห์ เพราะยังมีความคลาดเคลื่อนด้านข้อกฎหมายอยู่ แต่ส่วนตัวหลังจากที่ได้เห็นตัวเลขข้อมูลเรื่องการบัญชีก็น่าสนใจ ซึ่งถ้าหากมีข้อมูลเพิ่มเติมตนเองอาจจะทำเรื่องร้องต่อไป
อย่างไรก็ตาม นายชูวิทย์ได้แจ้งผ่านสื่อมวลชนว่า “ผมไม่ได้รู้จักเรืองไกร เขาเป็นคนทำให้ผมติดคุกด้วยซ้ำ เพราะเป็นคนร้องเรียนเรื่องผมรายงานบัญชีทรัพย์สินไม่ครบ จึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง”