“ข่าวลึกปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม 2564 ตอน “บิ๊กตู่” ไปต่อไม่ไหว ไม่ออก แล้วยังไง?
นับว่า น่าจะเป็นช่วงวิกฤติที่สุดในชีวิตของคนชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังเจอไวรัสมรณะโควิด-19 รอบนี้ที่ขวิดมาตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน จนถึงปัจจุบันแต่สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น
ตัวเลขผู้ติดเชื้อ 1 พันกว่าๆ สลับกับ 2 พันกว่าๆ มาตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตอยู่ที่สองหลักมาตลอด ไม่มีวี่แววว่าสถานการณ์จะดีขึ้นมาได้ เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่จากเรือนจำดันยอดไปถึงวันเดียวเกือบหนึ่งหมื่นรายไปแล้ว
ว่ากันตรงๆ แม้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. จะประเมินว่า อีก 2 สัปดาห์ น่าจะเห็นทิศทางที่ดีขึ้น เพราะตัวเลขที่ทะลุไปหลายพันรายในปัจจุบันมาจากการไล่ปูพรมค้นหาเชิงรุก ใน กทม. และเรือนจำ แต่ในสภาพความเป็นจริง มันไม่เห็นสัญญาณว่าจะดีขึ้นเลย
ในสถานการณ์นี้ หากเปรียบเทียบประเทศไทยเป็นคนไข้ ก็คือ ผู้ป่วยโคม่าในห้องไอซียูที่มีแต่ทรงกับทรุด ทำได้แต่รักษาตามอาการ แล้วพึ่งปาฏิหาริย์เท่านั้น
แล้วจะว่าไป การรักษาครั้งนี้เหมือนรักษาแบบมีข้อจำกัด ไม่สอดคล้องกับอาการเท่าไหร่ โดยเฉพาะมาตรการล่าสุด ที่แม้ตัวเลขจะพุ่งพรวดรายวันมากกว่าตอนยกระดับมาตรการตอนต้นเดือนพฤษภาคม แต่ ศบค.ก็ต้องจำเป็นจำใจผ่อนคลายสถานการณ์เร็วกว่ากำหนด เช่นผ่อนคลายร้านอาหารให้นั่งรับประทานอาหารในร้านในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดได้
เรื่องนี้ แม้รู้ทั้งรู้ว่า ปล่อยให้คนเข้าไปนั่งรับประทานอาหารในร้านเหมือนตามปกติ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ระบาดหนัก แต่มันไม่มีทางเลือก เพราะพอหยุดโรคได้ แต่ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบหนัก รายได้หดหาย ต้องประคองธุรกิจ ดูแลทุกอย่างมีรายจ่ายบานตะไท โดยที่รัฐไม่ได้ดูแลเยียวยาสักบาท
ครั้นจะดันทุรังให้ซื้อกลับไปรับประทานบ้านเท่านั้น เพื่อสกัดโควิด-19 รัฐก็ไม่พร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการ สุดท้ายต้องเลือกทำตามข้อเรียกร้องคนค้าขาย
เรียกว่า นาทีนี้ข้อจำกัดเยอะไปเสียหมด ยาแรงที่เคยใช้ได้ผลวันนี้ เจอสภาวะไม่กล้าใช้ออกไปเพราะกลัวผลกระทบเรื่องอื่นมากกว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะการเข้าไปช่วยเหลือเยียวยา เมื่อไม่กล้าจ่าย ก็ต้องยอมหลับตาให้สังคมกลับไปเสี่ยงอีก
วันนี้เจอคนถากถางเยอะว่า โควิด-19 ระลอกเดือนเมษายนคือ ความผิดพลาดจากการบริหารของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แบบไม่ต้องโทษใครนอกจากโทษตัวเอง เพราะย้อนกลับไปเมื่อตอนสงกรานต์ ที่หากตัดสินใจยอมเจ็บแต่จบ ล็อคดาวน์และเคอร์ฟิวตั้งแต่ระบาดแรกๆ ไม่ปล่อยให้เชื้อแพร่ไปทั่ว เผลอๆ ปานนี้ประเทศเข้าสู่โหมดเกือบปกติไปแล้ว
กลายเป็นเรื่องเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย จากที่ไม่กล้าใช้ยาแรงเพราะกลัวเศรษฐกิจพัง แต่ลืมไปว่าถ้าระบบสาธารณสุขพัง อย่าว่าแต่เศรษฐกิจจะพัง ประเทศก็ไม่เหลือ
ตอนนี้ขนาดรวบอำนาจจากรัฐมนตรีมาไว้ที่ตัวหมดแล้ว ก็ยังไม่สามารถทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้มากกว่าของเดิม มิหนำซ้ำการกระทำดังกล่าว ยังทำให้สถานะนายกรัฐมนตรีเหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ รัฐมนตรีต่างทิ้งให้ผู้นำโดดเดี่ยว ในเมื่ออยากจะคุมเองแบบเบ็ดเสร็จ
แล้วถ้าล้มเหลว บรรดารัฐมนตรีเหล่านี้สามารถอ้างได้เลยว่า ไม่ใช่ความผิดของรัฐบาล แต่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า เป็นเพราะ นายกรัฐมนตรี เนื่องจากพวกเขาไม่มีอำนาจใดๆ เพราะถูกริบไปหมดแล้ว
ขณะที่สายตาคนในสังคม สภาพ “บิ๊กตู่” วันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า เหมือนคนไร้เครดิต ไม่ต้องดูที่ไหนไกล ขนาดแนวร่วมรัฐบาล หรือแม้แต่คนในรัฐบาล นอกจากตอบโต้กับฝ่ายค้านเรื่องการเมืองแล้ว แทบไม่มีใครกล้าออกมาปกป้องหรืออวย “บิ๊กตู่” เรื่องแก้โควิด-19 เลย
ที่เห็นชัดๆ ก็เรื่องวัคซีนโควิด-19 ที่คนฉีดน้อยกว่าเป้าที่ตั้งไว้ แม้ “บิ๊กตู่” จะพูดปากเปียกปากแฉะ รณรงค์ให้มาฉีดแค่ไหนก็ตามก็ไม่ได้ผล จนต้องพึ่งอาจารย์หมอผู้เชี่ยวชาญ และบรรดาคนมีชื่อเสียงในสังคม ให้ออกมาพูดอีกทาง เพื่อชักชวนคนฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ อันเป็นทางแก้ดีที่สุดที่จะพ้นจากหายนะโควิด-19
ต้องบอกว่า การบริหารโควิด-19 รอบนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นวิบากกรรมอย่างแท้จริง แล้วจะเป็นภาพติดตาประชาชนไป พอๆ กับเวลานึกถึงยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วจะนึกถึงความล้มเหลวเรื่องการปล่อยให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ เมื่อตอนปี 2554 และโครงการจำนำข้าวที่ทำประเทศเสียหายเป็นแสนๆ ล้าน
“บิ๊กตู่” เองก็อาการออกว่า เครียดๆ ที่ทำงานไม่ได้ดังใจ ปรากฎสีหน้ามีแต่แววสิ้นหวังไร้กำลังใจ สภาพการณ์เหมือนคนไปไม่ไหวแล้ว แต่ลงจากหลังเสือตอนนี้ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะกลัวภัย แต่ถ้าไปตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับการทิ้งปัญหา ทำเละเทะแล้วทอดทิ้ง เรียกว่า โยนขี้ จากไปอย่างสภาพผู้แพ้
แน่นอนว่า หากคิดจะเป็นรัฐบาลต่ออีกสมัย ต้องบอกว่า กลับมายาก ได้ปิดเทอมยาว เลี้ยงหลานอยู่บ้านชัวร์ มันไม่ใช่ช่วงจังหวะที่เหมาะที่ควรที่จะล้างไพ่ใหม่ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ไปต่อลำบากจริงๆ ดูแววคงดันทุรังเอาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ผ่านสภาฯไปก่อน ตลอดจนแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการล็อตในเดือนกันยายนให้เสร็จ
ถ้ามันวิกฤติแบบยื้อไปต่อไม่ไหว ก็ต้องมองหาผู้เล่นคนใหม่ที่มีเครดิต มีฝีมือ เอามาแก้โควิด-19 โดยเฉพาะ ประคองให้ผ่านช่วงวิกฤติไปให้ได้ พออะไรเข้ารูปเข้ารอยก็ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ให้ประชาชนมีทางเลือก
รัฐธรรมนูญเปิดอ้าอยู่แล้วว่า สามารถเอาคนนอกมาได้ถ้าเสียง ส.ส.และส.ว.โหวตถึง มันไม่ได้เป็นทางตัน ปัญหามีอย่างเดียวคือ พล.อ.ประยุทธ์เป็นพวกยอมไม่ได้ แพ้ไม่เป็น บ้านเมืองก็จะติดทางตันด้วยเหตุนี้