“ข่าวลึกปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม 2564 ตอน พปชร.ตีกันบิ๊กตู่กินรวบ
การปรับคณะรัฐมนตรี ประยุทธ์ 2/4 เริ่มฝุ่นตลบ การเจรจาต่อรองขอเก้าอี้รัฐมนตรี ทั้งภายในพรรคพลังประชารัฐ และพรรคร่วมรัฐบาล ผ่านมาได้หลายวันแล้ว ยิ่งมายิ่งมีเงื่อนไขเพิ่มขึ้น
หลักใหญ่ใจความสำคัญ มีการเจรจาต่อรองเพื่อให้มีการเปิดโควต้า แลกกระทรวงกันใหม่ในพรรคร่วมรัฐบาล ตามทรงนี้ก็จะทำให้มีการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนกันระดับราวๆ 10 ตำแหน่งหรืมากกว่า อันเป็นสูตรที่เรียกว่า ปรับใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเล็ก
ในส่วนพรรคพลังประชารัฐ จากตอนแรก จะปรับครม.แบบหาคนมาแทนตำแหน่งที่ว่าง เช่น เอา อนุชา นาคาศัย เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ โยกจากรมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ไปเป็นรมว.ดิจิตอล แทนพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์
โยก ดร.แหม่ม นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ จากรมช.แรงงาน ไปเป็นรมต.สำนักนายกรัฐมนตรีแทน อนุชา หรือไม่ก็ดัน นฤมล ไปนั่งแทน เสมา 1 รมว.ศึกษาธิการ แทนณัฏฐพล ทีปสุวรรณ แต่ยังมีคลื่นลมแปรปรวน ทำให้ การหาคนไปเป็น รมว.ศึกษาธิการ เลยยังไม่ลงตัว
ขณะที่ ชั่วโมงนี้ ดาวรุ่งอย่าง รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นับวันบารมีก็กล้าแกร่งขึ้นทุกที เพราะคุมฐานการเมือง มีส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐ มาอยู่ในปีกของตัวเอง ทั้งสายเหนือ-อีสาน-กลาง-ใต้ เลยเตรียมยกระดับขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการฯ
แต่ก็ติดปัญหา หากระทรวงที่เหมาะสมกับตัวเองในโควต้ากระทรวงของพลังประชารัฐยังไม่ได้ เพราะอย่างกระทรวงแรงงาน ตัว สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ก็ไม่ยอมง่ายๆ ที่จะหลุดจากตำแหน่ง หรือโดนโยกสลับ เสี่ยเฮ้ง สุชาติ เลยใช้กำลังภายในหลายกระบวนท่าเพื่อรักษาเก้าอี้เต็มที่
เมื่อบางตำแหน่ง บางเก้าอี้ ไม่ลงตัวแบบนี้ เลยเป็นที่มาของสูตรปรับครม.สูตรการเจรจาขอแลกเปลี่ยนโควต้ากระทรวงกันในพรรคร่วมรัฐบาลกันใหม่
ทำให้ตอนแรกมีข่าวว่า ธรรมนัส กับพลังประชารัฐ ต้องการขอแลกกระทรวงศึกษาธิการกับกระทรวงเกษตรฯของประชาธิปัตย์ แล้วธรรมนัส จะได้พาสชั้นจากรมช.เกษตรมาเป็นรมว.เกษตรฯ แต่ข่าวว่า เสี่ยต่อ เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ยอม เด็ดขาด
ล่าสุด ก็มีข่าวว่า แกนนำพลังประชารัฐ กำลังเล็งไปที่เป้าใหญ่ จะขอแลกกระทรวงกับพรรคชาติไทยพัฒนา โดยให้ ชาติไทยพัฒนา มาดูแลกระทรวงศึกษาธิการแล้ว กระทรวงทรัพยากรฯ ทางพลังประชารัฐ จะขอคุมแทน เพื่อเปิดทางให้ ธรรมนัส ไปเป็นรมว.ทรัพยากรฯ
ส่วน วราวุธ ศิลปอาชา ก็โยกมาเป็น เสมา 1 ซึ่งก่อนหน้านี้คนตระกูล ศิลปอาชา สองคนคือ ชุมพล ศิลปอาชา อาของวราวุธ ก็เคยเป็น รมว.ศึกษาธิการมาแล้ว รวมถึง กัญจนา ศิลปอาชา พี่สาววราวุธ เคยเป็น รมช.ศึกษาธิการมาเช่นกัน
หาก วราวุธ ไปเป็นรมว.ศึกษาธิการ ก็จะกลายเป็น ศิลปอาชา คนที่สามที่เป็นเสนาบดี กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งนักในการเมืองไทย
สูตรนี้ ข่าวว่าคนในพลังประชารัฐ ก็มองว่า พรรคชาติไทยพัฒนา ก็น่ารับไว้พิจารณา เพราะกระทรวงศึกษาธิการ ใหญ่กว่ากระทรวงทรัพยากร ไม่ถือว่าเป็นการลดชั้น
ขณะที่ พรรคชาติไทยพัฒนามีจุดอ่อน ถูกมอง ตอนตั้งรัฐบาลรอบแรก มีส.ส.แค่สิบคน แม้ตอนนี้เพิ่มมาเป็น12คน ได้เก้าอี้รัฐมนตรีสองตำแหน่งคือ รมว.ทรัพยากรกับ รมช.เกษตรฯของประภัตร โพธสุธน ก็ถือว่าได้เยอะแล้ว
ตอนนี้ หมดยุครัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ พลังประชารัฐ ไม่จำเป็นต้องง้อ ชาติไทยพัฒนามากเหมือนตอนตั้งรัฐบาล หากชาติไทยพัฒนา ได้ดูแลกระทรวงศึกษาธิการ แล้ว ยังรักษาเก้าอี้รมช.เกษตรไว้ได้ ก็ถือว่า พลังประชารัฐให้ใจไปเยอะแล้ว
หากไม่ยอม อาจจะถูกริบเก้าอี้รัฐมนตรี ดูอย่างพรรคชาติพัฒนาของสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่มีส.ส.สามคน ก็โดนริบโควต้ารัฐมนตรีสำนักนายกฯ ของเทวัญ น้องชายสุวัจน์ หรือพรรครวมพลังประชาชาติไทย ของสุเทพ เทือกสุบรรณที่มีส.ส.ห้าคน ก็ถูกพลังประชารัฐกดดัน จนต้องยอมแลกกระทรวงแรงงาน กับกระทรวงอุดมศึกษาฯ
สถานการณ์พรรคร่วมรัฐบาลทั้งพรรคใหญ่ พรรคเล็กมีความไม่แน่นอน จะต้องตั้งการ์ดสูงในการเจรจาต่อรองปรับครม.รอบนี้ เพราะมีความยากกว่าตอนตั้งรัฐบาล เนื่องจากเวลานี้ เสียงส.ส.รัฐบาลเกินกึ่งหนึ่งมาเยอะ ทำให้พลังประชารัฐ มีแต้มต่อในการต่อรองมากกว่าตอนตั้งรัฐบาลเยอะมาก
แม้แต่ บิ๊กตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังโดนส.ส.พลังประชารัฐ ตีกันอำนาจการปรับครม. เห็นได้จากเรื่องที่ส.ส.พลังประชารัฐ จำนวนเก้าสิบกว่าคน ร่วมกันลงชื่อ สนับสนุนให้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค มีอำนาจเต็มที่ในการปรับครม.รอบนี้
แปลได้ว่า เป็นการเดินเกมสกัด ไม่ให้ นายกฯ มีอำนาจเต็มในการปรับครม. แบบนี้ มันก็เหมือนกับการยึดอำนาจนายกฯ กลาย ๆ นั่นเอง หลังจากที่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่า พลเอกประยุทธ์กำลังเล็งทาบทามคนนอกมาเป็น รมว.ศึกษาธิการคนใหม่แทนณัฏฐพล
เลยทำเอา ส.ส. แกนนำพลังประชารัฐ ต้องรีบออกแอ๊คชั่นตีกันบิ๊กตู่ ที่สาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะ คนในพลังประชารัฐ มองว่า ปัจจุบัน พลเอกประยุทธ์ มีรัฐมนตรีในโควต้าของตัวเองหรือโควต้ากลาง อยู่แล้วร่วม 6 คน จึงไม่ควรได้โควต้าเพิ่มอีก
เพราะรัฐมนตรีโควต้ากลางแต่ละคน ก็ได้ตำแหน่งไม่ธรรมดาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย -วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ-ดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกฯและรมว.ต่างประเทศ-พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม-อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง-สุพัฒนพงษ์ พันธ์ มีเชาว์ รมว.พลังงาน
ส.ส.พลังประชารัฐ เลยต้องการจำกัดวงให้กับบิ๊กตู่แค่ 6 คนนี้พอแล้ว ขอให้พลังประชารัฐ จัดการตำแหน่งรัฐมนตรีอื่นกันเอง
คาดว่า ปรับครม.รอบนี้ กว่าโผจะสะเด็ดน้ำ ต้องเขย่ากันหลายรอบ วิ่งเต้นต่อรองกันฝุ่นตลบ วัดพลังกันหนัก จนกว่าทุกอย่างจะลงตัว หลายฝ่ายคงบอบช้ำหลุดอำนาจไปตามๆกัน