ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องไม่ให้ประกัน “อานนท์-เพนกวิน-สมยศ-หมอลำเเบงค์” คดีชุมนุม 19 ก.ย. 63 ชี้ความผิดอัตราโทษสูง คำปราศรัยทำสถาบันเสื่อมเสีย กระทบกระเทือนจิตใจผู้จงรักภักดี
ความคืบหน้ากรณีเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา อัยการมีคำสั่งฟ้อง 4 เเกนนำราษฎร ประกอบด้วย นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, นายอานนท์ นำภา, นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือ หมอลำแบงค์ และ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องหาที่ 1-4 กระทำความผิดตามมาตรา 112, ม.116, ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ป.อาญา ม.215, ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, กีดขวางทางสาธารณะฯ, ร่วมกันกีดขวางการจราจรฯ, ตั้งวางวัตถุบนถนนอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายฯ, ทำลายโบราณสถานฯ, ทำให้เสียทรัพย์ฯ และร่วมกันโฆษณาเครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ รวม 11 ข้อหา จากกรณีชุมนุม ม.ธรรมศาสตร์-สนามหลวง เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. 2563
โดยสำนวนแรกเป็นคดีหมายเลขดำ อ.286/2564 ยื่นฟ้องนายพริษฐ์ เป็นจำเลยเพียงคนเดียว กรณีชุมนุมม็อบเฟส เมื่อวันที่ 14-15 พ.ย. 2563 บริเวณแยกคอกวัว ถ.ราชดำเนิน สำนวนที่สองคดีหมายเลขดำ อ.287/2564 ยื่นฟ้อง นายพริษฐ์, นายอานนท์, นายปติวัฒน์ และ นายสมยศ เป็นจำเลย กรณีชุมนุม 19 กันยา ทวงอํานาจคืนราษฎร เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. 2563 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และ สนามหลวง เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออก, ขอให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ศาลสอบคำให้การแล้ว นัดตรวจพยานหลักฐานคู่ความทั้ง 2 ฝ่าย ในวันที่ 15 มี.ค. นี้
จำเลยทั้งสี่ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว แต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง อีกทั้งการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำซ้ำๆ ต่างกรรมต่างวาระ ตามข้อกล่าวหาเดิมหลายครั้งหลายครา กรณีมีเหตุอันควรเชื่อว่า หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยอาจไปก่อเหตุลักษณะเดียวกันกับความผิดที่ถูกกล่าวหาอีก จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง แจ้งคำสั่งให้ทราบและคืนหลักประกันทั้งสองสำนวน และนำตัวส่งเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
ต่อมาภายหลัง น.ส.ภาวิณี ชุมศรี และทีมทนายความยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตให้ประกันตัว
ล่าสุด ช่วงบ่ายวันนี้ (15 ก.พ.) ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งคำร้องให้ยกคำร้อง ในสำนวนคดี อ.286/2564 ที่มี นายพริษฐ์ เป็นจำเลยคดีความผิดตาม มาตรา 112 สำนวนนี้ ศาลให้เหตุผลว่าพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า ความผิดตามฟ้องมีอัตราโทษสูงการกระทำตามฟ้องมีลักษณะเป็นการร่วมกันกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือความวุ่นวายขึ้นและส่งผลกระทบเป็นวงกว้างโดยจำเลยขึ้นปราศรัยด้วยถ้อยคำที่นำมาซึ่งความเสื่อมเสียสู่สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะกระทบกระเทือนจิตใจของปวงชนชาวไทยผู้จงรักภักดีอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายนอกจากนี้ยังปรากฎพฤติการณ์ของจำเลยว่าถูกกล่าวหาดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันในคดีอื่นอีก เมื่อพิจารณาประกอบคำคัดค้านของพนักงานอัยการโจทก์แล้วกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาแล้วจำเลยอาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นอีกและน่าเชื่อว่าจำเลยอาจจะหลบหนีจึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยในระหว่างพิจารณาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง
ส่วนสำนวนที่ 2 คือ สำนวนคดีที่287/2564 ศาลยกคำร้องเช่นเดียวกัน โดยในส่วนของนายพริษฐ์, นายอานนท์ และ นายสมยศ จำเลยที่ 1, 2, 4 โดยให้เหตุผลในทำนองเดียวกันสรุปว่า พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่าความผิดตามฟ้องมีอัตราโทษสูงการกระทำตามฟ้องมีลักษณะเป็นการร่วมกันกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือความวุ่นวายขึ้นและส่งผลกระทบเป็นวงกว้างโดยจำเลยทั้งหมดปราศรัยด้วยถ้อยคำที่นำมาซึ่งความเสื่อมเสียสู่สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและเคารพสักการะกระทบกระเทือนจิตใจของปวงชนชาวไทยผู้จงรักภักดีอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายและมีลักษณะชักนำประชาชนให้ล่วงละเมิดต่อกฎหมายของแผ่นดิน นอกจากนี้ ยังปรากฏพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า ถูกกล่าวหาดำเนินคดีเกี่ยวกับความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันนี้ในคดีอื่นอีก ส่วนจำเลยที่ 4 เคยต้องโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด ในลักษณะทำนองเดียวกันนี้มาก่อน อีกทั้งคดีนี้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ถูกจับกุมตามหมายจับกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาแล้วจำเลยที่ 1, 2 และ 4 อาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นอีกและน่าเชื่อว่า จำเลย 1, 2 และ 4 อาจจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลย 1, 2 เเละ 4 ในระหว่างพิจารณาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้นชอบแล้ว
ส่วน นายปติวัฒน์ หรือ หมอลำแบงค์ จำเลยที่ 3 นั้น เคยต้องโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิดในลักษณะทำนองเดียวกันนี้มาก่อน อีกทั้งถูกจับกุมตามหมายจับ กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าหากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างพิจารณาแล้วจำเลยที่ 3 อาจจะก่อให้เกิดเหตุอันตรายหรือความเสียหายประการอื่นอีกและน่าเชื่อว่าอาจจะหลบหนีจึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 3 ในระหว่างพิจารณาคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนั้นชอบแล้วให้ยกคำร้อง