MGR Online - รมว.ยุติธรรม เปิดสัมมนาอาสาสมัครคุมประพฤติ เน้นเครือข่ายภาคประชาชน สร้างความเชื่อมั่นทางสังคม พร้อมให้ติดตามกลุ่ม 7 นักโทษร้ายแรงหลังพ้นโทษ
วันนี้ (21 ธ.ค.) เวลา 10.00 น. ที่โรงแรมเบสท์ เวสเทิร์นพลัส แวนด้า แกรนด์ แจ้งวัฒนะ นายสามศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (รมว.ยธ.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาการบริหารองค์การอาสาสมัครคุมประพฤติ เพื่อเป็นกลไกสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้แก่สังคม โดยมีนายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ พร้อมคณะผู้บริหารกรมคุมประพฤติ อาสาสมัครคุมประพฤติ และเจ้าหน้าที่เข้าร่วมงาน
นายวิตถวัลย์กล่าวว่า อาสาสมัครคุมประพฤติ คือ ภาคประชาชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในกิจการของกรมคุมประพฤติ ตาม พ.ร.บ.คุมประพฤติ พ.ศ. 2559 ซึ่งอาสาสมัครคุมประพฤติเป็นกลไกหลักในเชิงพื้นที่ในการส่งเสริมสนับสนุนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการสร้างโอกาสด้านอาชีพแก่ผู้กระทำผิด เพื่อใช้ชีวิตในชุมชนได้อย่างปกติสุขและเป็นที่ยอมรับแก่สังคม คุมประพฤติมีอาสาสมัครฯ ทั่วประเทศ 20,182 คน โดยระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยการบริหารองค์การอาสาสมัครคุมประพฤติ 2561 กำหนดโครงสร้างการบริหารงาน 3 ระดับ คือ อำเภอ จังหวัดและภาค ซึ่งกรมคุมประพฤติมีการปรับโครงสร้างโดยให้มีกลไกการบริหารองค์การในระดับประเทศ เป็นองค์การหลักในการบริหารจัดการเชิงระบบ กำหนดกลไกทำงานและวางนโยบายการดำเนินงานของอาสาสมัครฯ เพื่อสนับสนุนภารกิจของกรมคุมประพฤติและกระทรวงยุติธรรมให้บรรลุเป้าหมายเพื่อคืนคนดีสู่สังคมต่อไป
ด้านนายสมศักดิ์เผยว่า กระทรวงยุติธรรมได้มุ่งเน้นการดำเนินงาน ทำให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย โดยในส่วนของกรมคุมประพฤติ มีหน้าที่ดูแลควบคุมผู้กระทำผิดที่พ้นโทษ รวมทั้งการคุมประพฤติผู้คนในระยะสั้นและยาว ทั้งนี้ ตนต้องขอชี้แจงอาสาสมัครทุกท่านว่า กรมคุมประพฤติจะเป็นเจ้าภาพหลักในการร่วมปฏิบัติการกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และเพื่อให้ภารกิจของกระทรวงยุติธรรมเกิดสัมฤทธิผล เครือข่ายภาคประชาชนจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยให้กับสังคม และยังเป็นกลไกในการช่วยให้ผู้กระทำผิดสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้นและช่วยเสริมสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในสังคม โดยนโยบายหลักๆ ของกระทรวงยุติธรรม เช่น การปราบปรามยาเสพติด และการลดความแออัดในเรือนจำ เกี่ยวเนื่องกับอาสาสมัครฯ เพราะวันนี้ร้อยละ 80 ในเรือนจำเป็นผู้ต้องขังคดียาเสพติด ที่เราได้มีการพักโทษผู้ประพฤติดีโทษเหลือน้อยด้วยการติดกำไล EM ให้อาสาสมัครฯ ช่วยติดตามแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน
นายสมศักดิ์เผยอีกว่า การปราบปรามยาเสพติด หากไม่มีการปรับเปลี่ยนวิธีการจะเสียเปล่า เพราะนโยบายยังไม่ลึกไปถึงการแก้ปัญหาได้ ในอดีตเราปราบปรามโดยตั้งด่านจับกุมเน้นที่จำนวนเม็ดยา เหมือนกับการที่เราไม่อยากให้คนเป็นเบาหวาน แล้วไปตามจับน้ำตาลในตาลก็คงไม่มีทางป้องกัน ดังนั้นต้องไปจับที่ต้นตอคือโรงงานผลิต ยาเสพติดก็เหมือนกัน ต้องไปยึดทรัพย์ตัดวงจรยาเสพติด ขณะนี้กำลังเริ่มดำเนินการ ซึ่งตั้งเป้าไว้ 6,000 ล้านบาท โดยขณะนี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆ และร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดที่กระทรวงยุติธรรมเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาแล้ว ซึ่งจะมีเรื่องของการยึดทรัพย์ย้อนหลังตามการประเมินรายได้ด้วย กฎหมายฉบับนี้จะทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ง่ายขึ้น และปัญหายาเสพติดจะลดลงได้
“กรณีผู้ต้องขังที่ทำความผิดร้ายแรง 7 ประเภท คือ ฆ่าข่มขืนเด็ก ฆ่าข่มขืน ฆาตรกรต่อเนื่อง ฆาตรกรโรคจิต สังหารหมู่ ปล้นฆ่าชิงทรัพย์และนักค้ายาเสพติดรายสำคัญ หากเขาพ้นโทษเราจะทำอย่างไรไม่ให้ทำความผิดอีก เช่นกรณี นายสมคิด พุ่มพวง พอพ้นโทษออกจากเรือนจำก็ไปฆ่าคนตายอีก จึงตั้งศูนย์ JSOC ขึ้นมาเพื่อเฝ้าระวัง โดยอาสาสมัครฯ จะเป็นเครือข่ายด่านแรก ในการเผยแพร่ข่าวสารให้สังคมรับรู้ ถ้าสังคมใดรับรู้ว่าผู้พ้นโทษ 7 คดีร้ายแรงอยู่ที่ไหนสังคมก็จะปลอดภัย และต้องมีกระบวนการเพื่อให้สังคมรับรู้และเตรียมพร้อมว่าบุคคลนี้กำลังจะพ้นโทษกลับออกมาในสังคมแล้ว ซึ่งผมคิดว่าน่าจะดีกว่าการที่ปล่อยตัวเขาออกมาโดยไม่ได้ให้สังคมเตรียมพร้อมเลย” นายสมศักดิ์กล่าว