MGR Online - “เลขาธิการ ป.ป.ส.” แจงความร่วมมือระหว่างไทย-เมียนมา ช่วยสกัดกั้นยาบ้าหลักร้อยล้านเม็ด ตั้งแต่ต้นทางการผลิตก่อนลำเลียงเข้าประเทศไทย พบฉวยโอกาสช่วงผ่อนปรนโควิด-19 ลักลอบอีกมาก
วันนี้ (19 มิ.ย.) นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เปิดเผยว่า จากการประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดต่อเนื่องของไทยและเมียนมา ทั้งในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล และหน่วยงานต่อหน่วยงานในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ได้ส่งผลอย่างเป็นรูปธรรมในการสกัดกั้นยาเสพติดจำนวนมาก ตั้งแต่ต้นทางไม่ให้ถูกผลิตขึ้น รวมถึงส่วนที่ผลิตแล้วเข้ามาไทยได้ โดยในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา คือ ตั้งแต่ปลายเดือน พ.ค. 63 ต่อเนื่องถึงกลางเดือน มิ.ย. 63 ทางการเมียนมาได้จับยึดยาเสพติดจำนวนมาก ทั้งบนเส้นทางลำเลียงพื้นที่ตอนในของประเทศ และบริเวณพื้นที่ติดชายแดนภาคเหนือของไทย ซึ่งจากการประสานด้านการข่าวทราบว่ายาเสพติดดังกล่าว มีจุดหมายปลายทางที่ไทย โดยส่วนหนึ่งกระจายในแหล่งแพร่ระบาดและส่วนหนึ่งลำเลียงผ่านไปยังประเทศที่สาม
นายนิยม กล่าวอีกว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 25 พ.ค.-15 มิ.ย. 63 สำนักงาน ป.ป.ส. ได้รับข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกลางเพื่อการควบคุมยาเสพติด ประเทศเมียนมา (CCDAC) ว่า มีการจับยึดยาบ้ากว่า 9,700,000 เม็ด ไอซ์ 4,149 กิโลกรัม ซึ่งทั้งหมดจะถูกลักลอบนำเข้าไทยด้านชายแดนภาคเหนือและภาคตะวันตก โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.63 จับยึดยาบ้าได้ 6,502,000 เม็ด ที่ จ.เมืองสาด เตรียมลักลอบลำเลียงข้ามชายแดนด้าน จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย สะท้อนให้เห็นว่าขบวนการค้ายาเสพติดรอฉวยโอกาส เมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้วจะทำการลักลอบลำเลียงข้ามเขตแดนทันทีที่ทำได้ นอกจากนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าวยังมีการจับยึดเคมีภัณฑ์แยกเป็นอาซีโตน 14,140 ลิตร โทลูอีน 18,080 ลิตร และโซเดียมไซยาไนด์ 45,680 กิโลกรัม ซึ่งสามารถนำไปสกัดเป็นสารตั้งต้นผลิตยาเสพติดได้ โดยเฉพาะเมื่อประมาณการจากปริมาณอาซีโตนจะสามารถนำไปผลิตยาบ้าได้ ไม่น้อยกว่า 707 ล้านเม็ด หรือผลิตไอซ์ได้ไม่น้อยกว่า 14 ตัน
นายนิยม กล่าวต่อว่า ปฏิบัติการของทางการเมียนมา เท่ากับสกัดกั้นยาเสพติดโดยเฉพาะยาบ้านับร้อยล้านเม็ด ตั้งแต่ต้นทางจากแหล่งผลิตไม่ให้ถูกผลิตรวมถึงลักลอบส่งเข้ามาในไทย จึงมีผลต่อสถานการณ์ยาเสพติดในไทยโดยตรง เห็นได้จากสถิติการจับยึดยาบ้าทั่วประเทศเปรียบเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณ (ต.ค.-มิ.ย.) คือ ปี 2562 จับยึดได้ 427.8 ล้านเม็ด ส่วนปี 2563 จับยึดได้ 179 ล้านเม็ด หรือลดลงมากกว่า 2 เท่า
นายนิยม กล่าวเพิ่มว่า ยาเสพติดทุกตัวยาที่เป็นปัญหาแพร่ระบาดในประเทศขณะนี้ ส่วนใหญ่แหล่งผลิต หรือแหล่งที่มาจากต่างประเทศ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงใช้มาตรการเชิงรุกในการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะในลุ่มแม่น้ำโขงในการสกัดกั้นสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ไม่ให้เข้าไปยังแหล่งผลิต และสกัดกั้นยาเสพติดจากแหล่งผลิตไม่ให้แพร่กระจายออกมา ประกอบกับล่าสุด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เข้าร่วมประชุม 7 ฝ่ายประเทศลุ่มแม่น้ำโขง และ UNODC เสนอแผนปฏิบัติร่วมสามเหลี่ยมทองคำ 1511 จึงทำให้การประสานความร่วมมือกันระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหายาเสพติดมีความกระชับใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะไทยและเมียนมา มีกลไกความร่วมมือกันหลายระดับและหลากมิติทั้งด้านการปราบปราม การข่าว การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาทางเลือก และการสนับสนุนด้านต่างๆ โดยมีจุดมุ่งหมายคือ ลิดรอนความสามารถการผลิตยาเสพติดให้ได้มากที่สุด
“สิ่งที่เกิดขึ้นยืนยันได้ว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ดำเนินการทุกวิถีทางที่จะแก้ไขปัญหายาเสพติดให้ลดลง จึงขอให้พี่น้องประชาชนได้เชื่อมั่น ในรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อหยุดยั้งยาเสพติดไม่ให้เข้ามาทำลายเด็กและเยาวชนของประเทศ ทั้งนี้ พี่น้องประชาชนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหายาเสพติดได้ หากพบเห็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วน ป.ป.ส.โทร. 1386 ตลอด 24 ชั่วโมง” เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวทิ้งท้าย