ศาลสั่งปรับ บริษัทฟิลลิป มอร์ริส ไทยเลี่ยงภาษีบุหรี่ 2 ยี่ห้อดัง 130 ล้าน ส่วนพนักงานคนไทยให้ยกฟ้อง
วันนี้ (20 มี.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษา ในคดีดำ อ232/2560 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด โดย มร. เจอรัลด์ มาร์โกลีส ผู้จัดการสาขา ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด เป็นจำเลยที่ 1 กับพนักงานบริษัท(ไม่ขอเปิดเผยชื่อ-นามสกุล เป็นจำเลยฐานร่วมกันนำเข้าบุหรี่ที่มีแหล่งผลิตในต่างประเทศเข้าราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายโดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี เพื่อฉ้อค่าภาษีสรรพสามิต
คำฟ้องระบุว่า เมื่อระหว่างวันที่ 22 ม.ค.2545 จนถึง 14 ส.ค. 2546 จำเลยทั้งสอง กับพวกที่หลบหนียังไม่ได้นำตัวมาฟ้องอีกหลายคน ร่วมกันนำสินค้าประเภทบุหรี่อันมีถิ่นกำเนิดในต่างประเทศยี่ห้อ แอลแอนด์เอ็ม ยี่ห้อมาร์โบโล เข้ามาในราชอาณาจักรไทย และได้บังอาจร่วมกันสำแดงเท็จโดยความเท็จ โดยฉ้อโกงและอุบายด้วยการยื่นใบขนสินค้าขาเข้าต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร กรมศุลกากรเพื่อผ่านพิธีการศุลกากรโดยสำแดงประเภทชนิดราคาของเป็นบุหรี่ยี่ห้อ แอลแอนด์เอ็ม ยี่ห้อมาร์โบโล รวมราคาของอันเป็นเท็จไม่ตรงตามราคาแห่งของที่แท้จริง และถูกต้องตามกฎหมายศุลกากร จำนวนหลายครั้ง เป็ความผิดรวม 780 กรรม เหตุเกิดที่เขตบางรัก,เขตคลองเตย กรุงเทพฯ,สำนักงานศุลกากรท่าเรื่อแหลมฉบัง จ.ชลบุรี และด่านศุลกากรอื่นๆอีกหลายที่ รวมทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา เขตปกครองพิเศษฮ่องกง และประเทศอินโดนีเซีย ต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 ม.27,115 จัตวา พ.ร.บ.ให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ.2489 ม.4-9
วันนี้จำเลยทั้งสองคนเดินทางมาศาล เพื่อคำฟังคำพิพากษา
ศาลพิเคราะห์ แล้วเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ซึ่งมาจากหลายหน่วยงาน ซึ่งต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ในลักษณะประสานความร่วมมือค้นหาความจริงเบิกความมีหน้ำหนักให้รับฟัง เมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ดีเอสไอรวบรวมได้ไม่ว่าจะเป็นเอกสารโครงสร้างราคาบุหรี่ที่ยึดได้เมื่อคราวไปตรวจค้นสำนักงานของจำเลยที่1 ในปี 2542 เอกสารติดต่อกันระหว่างจำเลยที่1กับ ฟิลลิป มอร์ริส เอเชีย ซึ่งเป็นผู้ดูแล บริษัทในเครือที่อยู่ในภาคพื้นเอเชียก็ตีราคาหน้าโรงงานซึ่งมีราคาเฉลี่ย และ ราคาขายปลีกที่ใช้วิธีสุ่มตรวจจากตลาดในประเทศอินโดนีเซียหรือต้นทุนบุหรี่ยี่ห้อ มาร์โบโล และแอลแอนด์เอ็ม จะเห็นได้ว่ามีตัวเลขสูงกว่าราคาสำแดงตามใบขนส่งสินค้าของจำเลยที่1 พฤติการณ์การนำเข้าและการสำแดงราคาบุหรี่เพื่อผ่านพิธีการศุลกากรของจำเลยที่1 ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และภายหลังเกิดเหตุ เป็นการยืนราคาสำแดงซึ่งปรากฎว่าเจ้าหน้าที่ตรวจพบเหตุสงสัยราคาที่สำแดงกรณีผู้ซื้อผู้ขายมีความสัมพันธ์กัน
ซึ่งก่อนและหลังเกิดเหตุ จำเลยที่ 1นำเข้าบุหรี่จากประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์โดยสำแดงราคาคงที่ ราคาเดียวมาตลอด จะมีการเปลี่ยนแปลงราคาสำแดงคือมาร์โบโล ซึ่งเจ้าหน้าที่ศุลกากรเคยเข้าตรวจค้นยึดและประเมินเห็นว่าราคาประเมินสำแดงต่ำและเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมมาโดยตลอด ทั้งนี้จำเลยที่ 1ไม่ได้โต้แย้งและยินยอมชำระภาษีอากรขาเข้าและค่าปรับเพื่อระงับคดีในชั้นศุลกากรเท่ากับจำเลยที่ 1ยอมรับราคาประเมินของศุลกากรเป็นราคาของนำเข้าที่แท้จริง ซึ่งตามปกติราคาสินค้าต้องมีเปลี่ยนแปลงตามสภาวะเศรษฐกิจแต่จำเลยที่ 1ยังสำแดงราคาที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรปฏิเสธไม่ยอมรับราคามาโดยตลอด และใช้วิธีย้ายการนำเข้าเมื่อถูกศุลกากรประเมินเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมซึ่งผู้ขายบุหรี่ให้แก่จำเลยที่1 เป็น ฟิลลิป มอร์ริส มาเลเซีย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ เป็นบริษัทในเครือเดียวกัน ความสัมพันธ์ลักษณะการสำแดงราคาไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิม การที่จำเลยที่ 1 สำแดงราคาคงที่ต่อเนื่องไม่เปลี่ยนตามเศรษฐกิจทั้งที่ไม่ปรากฎการทำสัญญาซื้อขายตกลงราคากันไว้ล่วงหน้าเป็นข้อบ่งชี้ว่าผู้ซื้อกับผู้ขายเป็นบริษัทแม่ผู้กำหนดราคาตามอำเภอใจและเป็นราคาที่ไม่สะท้อนความเป็นจริง เมื่อพิจารณาในแง่ธุรกิจย่อมขัดกับหลักการประกอบธุรกิจที่ผู้ขายต้องมุ่งหวังผลกำไรสูงสุด
ที่จำเลยต่อสู้ว่า การดำเนินคดีอาญานี้และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 185/2559 ขัดต่อคำตัดสินของคณะผู้พิจารณาขององค์การการค้าโลก(WTO) ที่วินิจฉัยว่าการฟ้องคดีอาญาขัดต่อข้อตกลงว่าด้วยการประเมินราคาศุลกากรของ WTO เห็นว่า การดำเนินคดีอาญาพนักงานสอบสวนคดีพิเศษมุ่งถึงพฤติการณ์การนำเข้าและการสำแดงราคาบุหรี่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเกิดต่อเนื่อง ระหว่างปี 2543-2549 ว่ามีการสำแดงราคาตรงตามราคาที่แท้จริงหรือไม่ และมีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรขาเข้าโดยการสำแดงเท็จหรือไม่ เนื่องจากดีเอสไอได้รับรายงานจากสายลับผู้แจ้งความนำจับว่าจำเลยที่ 1 และบริษัทอื่น สำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง เป็นเหตุให้ไทยสูญเสียรายได้จากการเก็บภาษีอากรเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นกระบวนการทางอาญามิใช่การตรวจสอบการประเมินราคาหรือการตรวจสอบหลังการตรวจปล่อยในชั้นศุลกากรจึงไม่ขัดต่อพันธกรณีที่ต้องนำความมาตรา 7 ของความตกลง ทั่วไปมาถือปฏิบัติเพราะเป็นคนละกรณี นอกจากนี้ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดให้ศาลต้องถือตามคำตัดสินของ WTO อีกด้วย ข้ออ้างจำเลยที่1ฟังไม่ขึ้น
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการสำแดงเท็จเมื่อพิจารณาพฤติการณ์ก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ หลังเกิดเหตุจำเลยที่1สำแดงราคาคงที่มาโดยตลอด ไม่เคยชี้แจงเหตุผลเกี่ยวกับราคาที่แท้จริงอันอยู่ในวิสัยที่พึงกระทำได้ พฤติการณ์บ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นการนำสินค้าประเภทบุหรี่เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระค่าอากรให้ครบถ้วนโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลอันเป็นการผ่าฝืนมาตรา 27 พ.ร.บ.ศุลกากรฯ ส่วนเรื่องราคาที่แท้จริง ของบุหรี่ทั้ง 2 ยี่ห้อ จำนวน 3,184,957,148 บาท แต่จำเลยที่1 สำแดงราคาเป็นเงิน จำนวน 2,534,227,797 บาท ดังนั้นราคาของขาดเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 650,729,350 บาท คิดเป็นอากรขาเข้าอัตราร้อยละ 4 ของจำนวนดังกล่าวเท่ากับ 32,536,467 บาท ซึ่งเป็นค่าอากรขาเข้าที่จำเลยที่1ต้องเสียเพิ่ม ระหว่างการพิจารณาของศาลได้มีการแก้กฎหมาย ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำผิดอันคงบัญญัติให้การกระทำตามฟ้องเป็นความผิดอยู่และมีบทกำหนดโทษให้ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับเป็นเงินตั้งแต่ ครึ่งเท่าแต่ไม่เกิน 4 เท่า ของค่าอากรที่ต้องเสียเพิ่มจึงเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 มากกว่า จึงพิพากษาลงโทษจำเลยที่1ตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่ ปรับเป็นเงิน 130,145,870 บาท
ส่วนจำเลยที่ 2 ศาลเห็นว่าไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในทางบริหารหรือมีส่วนกำหนดนโยบายเรื่องการนำเข้าและจัดจำหน่ายบุหรี่ในไทยของจำเลยที่1แต่อย่างใด พิพากษายกฟ้องและข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคดีนี้มีสายลับผู้แจ้งความนำจับจ่ายสินบนร้อยละ 30 ของค่าปรับ
ด้านนายเจอรัลด์ เปิดเผยภายหลังฟังคำตัดสินของศาลว่า เราไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำตัดสินของศาลวันนี้ เนื่องจากคำตัดสินดังกล่าวขัดต่อกฎหมายศุลกากรของไทยและกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งรวมถึงคำตัดสินต่างๆ ของหน่วยงานทั้งไทยและต่างประเทศก่อนหน้านี้ และเราจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวเพื่อต่อสู้คดี
ทั้งนี้องค์การการค้าโลก (WTO) ได้มีคำตัดสินออกมาหลายครั้งก่อนหน้านี้ว่า ประเทศไทยดำเนินการขัดต่อกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ โดยการปฏิเสธราคานำเข้าที่ บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ดสำแดง และดำเนินการฟ้องร้องคดีอาญากับบริษัทฯ เมื่อเดือนที่ผ่านมารัฐบาลฟิลิปปินส์จึงร้องขอต่อ WTO เพื่อเริ่มกระบวนการตอบโต้ทางการค้าอันเนื่องมาจากการที่ประเทศไทยไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีกับ WTO ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการค้าระหว่างไทยและฟิลิปปินส์จำนวนมาก
คดีนี้ก่อให้เกิดข้อกังขาอีกครั้งต่อระบบเงินสินบนรางวัลที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างยาวนานว่าเป็นแรงจูงใจให้เร่งทำคดีจากเงินค่าปรับและสร้างผลประโยชน์ขัดแย้งสำหรับเจ้าหน้าที่รัฐบาลของไทยที่อาจจะได้รับประโยชน์เป็นการส่วนตัวจำนวนมากจากค่าปรับที่ได้รับ
เป็นอีกประเด็นของเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนต่อเนื่องและการลงทุนใหม่จากต่างประเทศ เนื่องจากการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมนี้คุกคามความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทยของเราซึ่งรวมถึงการซื้อใบยาสูบจากประเทศไทย คดีนี้เป็นเรื่องน่ากังวลอย่างยิ่งสำหรับทุกบริษัทที่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้องในประเทศไทย เราจะอุทธรณ์คัดค้านคำตัดสินและต่อสู้ข้อกล่าวหาที่มีต่อเรา