รายการ “ข่าวลึก ปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันอังคารที่ 17 มีนาคม 2563 ตอน ตัดวงจรแพร่ระบาดไวรัส ร่วมใจกัน ประเทศไทยจะชนะ
การเดินหน้าสู้ไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลเริ่มมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19ที่เข้มข้นขึ้น ออกมาในช่วงจังหวะเวลามีข่าวคนไทยติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น มากขึ้นทุกวัน
มีคนป่วยติดเชื้อทุกกลุ่มอาชีพ พบเจอทั้งในบุคคลทั่วไป ตั้งแต่รากหญ้าจนถึงไฮไซ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ก็มีพบว่าได้รับเชื้อไวรัสกันหลายราย
สถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่นนี้ ว่ากันว่า น่าจะเป็นระยะ3 แล้ว เพราะมีการติดต่อของเชื้อโรคแบบก้าวกระโดด จากคนที่หนึ่งไปถึงคนที่4-5, มีการแพร่กระจายในวงกว้าง และระบาดในเวลารวดเร็ว ลักษณะที่ครบองค์ประกอบเช่นนี้ จัดว่าเป็นระยะ3แน่แล้ว
แต่รัฐบาล ยังย้ำว่าขณะนี้การระบาดไวรัสโควิด-19 ยังอยู่ในระยะ 2 โดยศูนย์บริหารสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่เป็นหน่วยงานรับผิดชอบที่เป็นศูนย์ใหญ่ที่สุด เป็นผู้ให้ข่าว ซึ่งมีดร. วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ออกโรง เป็นผู้นั่งหัวโต๊ะแถลงเอง
ศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ มีมาตรการที่ออกมาหกด้าน ครอบคลุมทุกด้านในการเตรียมรับมือสู้กับไวรัส ดูแล้วหากเชื้อโรคยังลุกลามไม่หยุด ก็จะพร้อมแก้ไขปัญหาได้ โดยเฉพาะในเรื่องการรักษาผู้ป่วย ที่เตรียมแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ และเวชภัณฑ์ต่างๆแบบเต็มพิกัด ไว้รอรับมือ
แผนการสู้ไวรัสโควิด จะทำให้ประชาชนคนไทย ที่ถูกส. ส. พรรคพลังประชารัฐด่าว่าโง่ทั้งประเทศ จะอุ่นใจได้ จะได้รับการดูแลรักษาสุขภาพในภาวะโรคระบาด ในระดับมีมาตรฐานทางการแพทย์ และรัฐบาลมีแผนฟื้นฟูเยียวยาสังคมหลังวิกฤตไวรัสผ่านไปแล้ว ก็เหมือนจะดีอยู่ไม่น้อย
ในความเป็นจริง และในวงการหมอให้การแพร่ระบาดไวรัสทะลุไปในระยะ3 แล้ว แต่ที่รัฐบาลยังให้อยู่ในเฟส2 ตามที่ดร. วิษณุบอกมา ซึ่งไม่ค่อยมีใครเชื่อ เท่าไหร่
เพราะมีอะไร ที่รัฐบาลไม่ยอมรับว่าไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยไปถึงระยะ3แล้ว คงตอบได้ว่า รัฐบาลไม่อยากบอกเป็นเฟส3 เพราะไม่อยากไปเพิ่มความตื่นตระหนกตกใจให้กับประชาชนมากขึ้น ซึ่งตอนนี้คนไทยส่วนใหญ่ ก็มีความรู้สึกหวาดผวา แทบกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่แล้ว
ถ้ารัฐบาลบอกความจริงว่ามีคนป่วยติดเชื้อไวรัสไม่ใช่หลักร้อยแต่เป็นจำนวนหลายพันหรือเป็นหมื่นคน คงจะเป็นการซ้ำเติมความรู้สึกของประชาชนย่ำแย่หนักขึ้นไปอีก
ซึ่งไม่กี่วันมานี้ มีข่าวเจอคนติดเชื้อไวรัส ที่โผล่มาจำนวนเป็นสิบๆรายภายในวันเดียว ลักษณะคล้ายประเทศอิตาลี ที่มียอดคนติดเชื้อพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว จนต้องใช้มาตรการเข้ม สั่งปิดเมืองจนขยายมาถึงปิดประเทศ เพื่อกักกันคน ตัดวงจรความสัมพันธ์ใกล้ชิด ไม่ให้คนติดต่อกัน ตามปกติ
หรือเหตุการณ์ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ก็ใช้มาตรการเฉียบขาดสั่งปิดเมืองมะนิลา กักคนจำนวน12 ล้านคน ไม่ให้ออกบ้าน เป็นวิธีการตัดวงจรความสัมพันธ์ของคนในช่วงเขื้อโรคแพร่ระบาด ซึ่งเป็นหนทางที่ดีและได้ผลที่สุด
วิธีตัดความสัมพันธ์ของผู้คน ปิดเมืองหรือLock down เป็นเสมือนวัคซีนป้องกันโรคแพร่กระจายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีนแหล่งกำเนิดเชื้อไวรัสโควิด-19 อู่ฮั่นชนะ หูเป่ยชนะ ประเทศจีนชนะก็ใช้การปิดเมือง
หรือที่เมือง ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น สามารถหยุดการแพร่ระบาดได้ เพราะสั่งปิดเมืองทันทีที่มีพบการระบาดของไวรัส และเกาหลีใต้ก็เช่นเดียวกัน ทำให้ตอนนี้เกาหลีใต้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว
ดังนั้น มองในแง่ดี รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ คงไม่ตั้งใจจะบิดเบือนอะไร หากแต่ที่ยังยืนยันสถานการณ์การแพร่ระบาดยังไม่เข้าระยะที่3 ก็เป็นความที่ห่วงใยประชาชนจะใจเสีย จนเกิดเหตุแพนิคกันไปใหญ่
ถ้าบอกกันตามจริง คงจะรับกันไม่ได้เท่าไหร่ เช่นถ้าบอกตามตรงว่า ถ้ามีผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 วันละหลายร้อยคน จะไม่มีเตียงนอนคนไข้รองรับได้ จะไม่มีแพทย์ พยาบาล และบุคคลากรทางการแพทย์เพียงพอกับการดูแลคนป่วย จะไม่มีเครื่องช่วยหายใจสำหรับคนป่วยหนักทุกคน
เป็นเหมือนสถานการณ์ที่เกิดกับอิตาลีตอนนี้ ก็อยู่ในภาวะวิกฤติขาดแคลนทุกอย่าง จนต้อง คุกเข่ายอมแพ้ ต้องปล่อยให้คนไข้หนักตายไป เพราะขาดอุปกรณ์เครื่องช่วยหายใจ
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะไม่ยอมรับเป็นเฟส3 แต่มาตรการเตรียมพร้อมรับมือได้แสดงให้เห็นแล้วว่า รัฐบาลประเมินสถานการณ์ในขั้นที่เลวร้ายหรือ worse case ไว้แล้ว มีการเตรียมสถานที่โรงพยาบาล แพทย์ พยาบาล ไว้รับมืออย่างพรักพร้อม
ขณะเดียวกัน ทางด้านประชาชนก็ต้องช่วยกัน ต้องดูแลตัวเอง สิ่งสำคัญอย่างแรก คือถ้าไม่จำเป็นจะไปไหน หรือมีกิจธุระอะไร ก็ไม่ต้องมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนอื่น ถ้าเก็บตัวกักตัวเอง โอกาสจะติดไวรัสก็แทบจะไม่มี
การปิดเมือง มาตรการนี้ มีเสียงเรียกร้องกันมามาก เพื่อจัดการกับการแพร่ระบาดแบบ เจ็บแล้วจบ แต่นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เอา แต่เลือกที่จะตัดวงจรการติดต่อสัมพันธ์กันของผู้คน ไม่สั่งLock down
โดยสั่งปิดสถานที่มีการรวมตัวชั่วคราว เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม เป็นต้นไป ประกอบด้วยในโรงเรียน โรงเรียนนานาชาติ มหาวิทยาลัย สถาบันกวดวิชา โดยให้ดำเนินการเรียนการสอนผ่านออนไลน์
ให้หยุดการชุมนุมเพื่อทำกิจกรรมบางอย่างร่วมกัน
เช่น การแข่งขันกีฬา สถานบันเทิง โรงภาพยนตร์ ส่วนสถานที่ร้านค้า ร้านอาหารที่ไม่เข้าเกณฑ์สามารถดำเนินการได้ตามปกติ และมาตรการให้ข้าราชการและรัฐวิสาหกิจทำงานจากที่บ้าน
กุญแจสำคัญของการหยุดการระบาดไวรัส คือตัดความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ถือว่ามาตรการรัฐบาลมาถูกทางแล้ว แต่ที่สำคัญอีกด้านหนึ่ง ประชาชนต้องให้ความร่วมมือร่วมใจฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน แล้วประเทศไทยจะชนะ