MGR online - ดีเอสไอ โชว์ศักยภาพแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดิน ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม รอบปี 62 สอบสวนเสร็จสิ้นแล้วจำนวน 17 คดี มูลค่าความเสียหายกว่า 3 หมื่นล้าน
วันนี้ (27 ธ.ค.) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า ปัจจุบันมีการบุกรุกที่ดินของรัฐและตัดไม้ทำลายป่าเพิ่มมากขึ้น ทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพที่เคยอุดมสมบูรณ์ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า พันธุ์พืช และแร่ธาตุ ถูกทำลายหรือนำไปใช้ประโยชน์ทางพาณิชย์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งปัญหาภาวะมลพิษมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยดีเอสไอให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ ตลอดจนดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและผู้บริโภค ซึ่งกลุ่มคดีด้านการคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย ความผิดอาญาเกี่ยวกับที่ดิน, ป่าไม้, ป่าสงวนแห่งชาติ, อุทยานแห่งชาติ, การสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า, วัตถุอันตราย, แร่ และความผิดอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้ ในปี 2562 มีผลการดำเนินคดีอาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อผู้บริโภค สิ่งแวดล้อม และเกี่ยวกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ที่สอบสวนเสร็จสิ้นแล้วจำนวน 17 คดี มีมูลค่าความเสียหายประมาณ 32,900.90 ล้านบาท ดังนี้
พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวอีกว่า (1) คดีการออกเอกสารสิทธิที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ จ.ภูเก็ต ได้รับไว้เป็นคดีพิเศษทั้งสิ้น 11 คดี เนื้อที่รวม 602 ไร่ มูลค่าความเสียหายกว่า 22,403 ล้านบาท ซึ่งได้ส่งสำนวนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว โดยบางส่วนส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป บางคดีอยู่ในการพิจารณาคดีของอัยการ และบางคดีอยู่ในการพิจารณาคดีของศาล ล่าสุด ศาลอาญาได้มีคำพิพากษากรณีการออกเอกสารสิทธิตามโฉนดที่ดิน เลขที่ 42053 และ 42054 ต.สาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เนื้อที่รวม 93 ไร่ มีการอ้างหลักฐานแจ้งการครอบครอง ส.ค.1 เพื่อใช้ประกอบในการขอออกเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดิน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 800 ล้านบาท (ตามราคาซื้อขายที่ดินแปลงพิพาท) ซึ่งรับไว้เป็นคดีพิเศษที่ 19/2558 โดยสรุปคำพิพากษาได้ว่า นายเอนก ลีประชา (ประชา) จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 , พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 , พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 , ประมวลกฎหมายที่ดิน และประมวลกฎหมายอาญา เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป รวมจำคุก 15 ปี แต่ทางนำสืบในชั้นพิจารณานับว่าเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา ลดโทษหนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี และมีคำสั่งให้จำเลยที่ 3 คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยที่ 3 กับพวก ออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตอุทยานแห่งชาติและเขตป่า และให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 42053, 48252, 48253, 42054 ต.สาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต
พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวต่อว่า (2) คดีเหมืองแร่ทองคำ บริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด หรือบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เข้ายึดถือครอบครองพื้นที่ป่าและรุกล้ำเขตพื้นที่ทางหลวง ซึ่งได้รับเป็นคดีพิเศษเมื่อปี 2559 โดยสำนวนการสอบสวนแบ่งเป็น 2 คดี ได้แก่ 2.1 คดีการดำเนินกิจการเหมืองแร่โดยเข้ายึดถือครอบครองพื้นที่ป่าและรุกล้ำเขตพื้นที่ทางหลวง ต.เขาเจ็ดลูก อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร และ ต.ท้ายดง อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งรับเป็นคดีพิเศษที่ 17/2559 โดยพบการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องกับการออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันเป็นความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ให้สำนักงาน ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 28 ก.ย.61 ส่วนประเด็นที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. แต่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ได้ส่งให้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 25 ต.ค.61 ได้แก่ กรณีเจ้าหน้าที่ถูกกล่าวหาว่ามีการออกโฉนดโดยมิชอบ โดยมีบริษัทเอกชนร่วมสนับสนุนการกระทำความผิด และกรณีบริษัท อัคราฯ และพวก รวม 2 คน ในความผิดตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 และพ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ. 2535 และ 2.2 คดีการทำเหมืองแร่ทองคำของบริษัท อัคราไมนิ่ง จำกัด หรือบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ก่อให้เกิดมลพิษในพื้นที่บริเวณ อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร รับเป็นคดีพิเศษที่ 39/2562 ซึ่งได้ส่งเรื่องให้สำนักงาน ป.ป.ช. ในความผิดตามพ.ร.บ.โรงงาน, พ.ร.บ.แร่ และพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
"(3) คดีการนำเข้ามาในราชอาณาจักร และจำหน่ายสินค้าเสริมความงาม เช่น โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เป็นผลิตภัณฑ์ยาที่ละเมิดเครื่องหมายการค้าทั้งปลอมและเลียนเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่จดทะเบียนไว้แล้วในราชอาณาจักร และผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาจาก อย.จำหน่ายให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นการสืบสวนแกะรอยเส้นทางการเงินจากการจับกุมเมื่อปี 2560 จนพบเบาะแสการกระทำความผิดของเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งเชื่อมโยงมาถึงเครือข่ายนำเข้าโบท็อกซ์ และฟิลเลอร์ปลอมรายใหญ่ จึงได้เข้าล่อซื้อและนำของกลางส่งตรวจพิสูจน์หลักฐานชัดเจนว่าเป็นสินค้าปลอม เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2562 จึงขอศาลออกหมายค้นจำนวน 12 จุด ผลการตรวจค้นสามารถยึดของกลางได้กว่า 400,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 80 ล้านบาท และจากการตรวจสอบเส้นทางการเงินย้อนหลังพบเงินหมุนเวียนในบัญชีสูงถึง 800 ล้านบาท ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินการตามกฎหมายฟอกเงินต่อไป"
พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า (4) คดีการนำสารพาราควอตไดคลอไรด์ และไกลโพเซต – ไอโซโพรพิลแอมโมเนียม ซึ่งเป็นสารควบคุมตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 มาผสมกับผลิตภัณฑ์ชีวภาพอินทรีย์โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และขายผ่านทางสื่อโซเซียลมีเดีย ทำให้ผู้ซื้อไปใช้เข้าใจผิดคิดว่าผลิตภัณฑ์ชีวภาพดังกล่าวไม่มีผลต่อสุขภาพ เป็นเหตุทำให้ผู้ซื้อได้รับอันตรายต่อสุขภาพจากการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และตามประกาศคณะกรรมการคดีพิเศษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 เรื่อง กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยคดีนี้จากการสืบสวนเบื้องต้นน่าเชื่อว่ามีความเสียหายมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป และมีผู้ได้รับผลกระทบจากวัตถุอันตรายดังกล่าวมากว่า 1,000 ราย โดยเมื่อวันที่ 14 พ.ย.62 ดีเอสไอ บูรณาการร่วมกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และกรมวิชาการเกษตร บุกค้น 5 จุดในจ.ปทุมธานี และจ.นครราชสีมา โดยสามารถยึดผลิตภัณฑ์ต่างๆ และเอกสารที่เกี่ยวข้องได้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งได้มีการอายัดอุปกรณ์การผลิตไว้เพื่อทำการตรวจสอบ ขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งดำเนินคดีและสรุปสำนวนเพื่อส่งพนักงานอัยการฟ้องคดีต่อไป