รายการ “ข่าวลึก ปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม 2562 ตอน “ธนาธร” มีแผนไขก๊อก วอร์มอัพม็อบลุยรัฐบาล
กรณีที่ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งในฝ่ายนิติบัญญัติ โดยให้เหตุผลว่า เมื่อเขาไม่ต้องการให้ผมอยู่ ก็จะออกไปเคียงข้างประชาชน
ถือเป็นความย้อนแย้งในตัวธราธร เพราะก่อนหน้านี้เขาแสดงออกว่า ต้องการเข้ามาเรียนรู้งานในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563
แต่วันนี้ การอ้างเหตุผลเสมือนถูกบีบให้ออกจากคณะกรรมาธิการฯ ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร เพราะนั่งทำงานมาได้ถึง 27 วัน โดยเฉพาะช่วงแรกที่มีการคัดค้านว่า มาในฐานะ ส.ส. หรือคนนอก ขวางกันทุกทาง ยังเข้ามานั่งจนได้
จนกระทั่งนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม เต้าเก่าขาประจำออกมาฉีกหน้าว่า แท้จริงแล้วเพราะธนาธรรับภาระงานตรงนี้ไม่ไหวต่างหาก
นอกจากนี้ ยังมีข่าววงในจากคณะกรรมาธิการฯชุดดังกล่าว ซึ่งสอดคล้องกับ 2 เสียงข้างต้นว่า แรกเริ่มเดิมทีธนาธรคงคิดว่า จะเข้ามาชำแหละการจัดทำงบประมาณของฝ่ายรัฐบาล แต่สิ่งที่ออกมาสวนทางกัน
ธนาธรไม่ถนัดทำงานนี้
บทบาทในคณะกรรมาธิการฯแทบไม่มี ขืนอยู่ไปก็ไม่มีผลงาน หากอยู่เป็นก็แค่องค์ประกอบเล็กๆ ไม่ได้รับความสำคัญเหมือนภายนอก สุดท้ายพอเห็นว่า ทำอะไรไม่ได้จึงไขก๊อก และอ้างหล่อๆ ว่า เขาไม่ต้องการผม!
การประกาศลาออกจากทุกตำแหน่งในฝ่ายนิติบัญญัติ ส่วนหนึ่งนอกจากเหตุผลที่ตัวเองไม่โดดเด่นอะไร แถมยังต้องทำงานหนักมากขึ้นแล้ว ยังจะออกไปขับเคลื่อนงานภาคพื้นที่ถนน ที่ตัวเองเคยทำมา
พรรคอนาคตใหม่น่าจะประเมินแล้วว่า ช่วงเวลานี้เป็นเวลาเหมาะสมที่จะกระโจนลงมา โหมกระแสกัดเซาะฝ่ายรัฐบาล ที่อาการไม่สู้ดี
แน่นอนตอนนี้สถานการณ์ยังไม่สุกงอม และการปลุกม็อบไม่ใช่เรื่องง่ายใน พ.ศ.นี้ เพราะประชาชนยังขยาดกับภาวะบ้านเมืองในความขัดแย้ง ซึ่งจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ ที่มีตอนนี้แต่ทรงกับทรุด
เพียงแต่ว่าช่วงนี้กลับเป็นเวลาที่ดี เป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะออกมาสุมฟืนใส่ไฟรอเอาไว้ ซึ่งเป็นจังหวะที่รัฐบาลเป็นฝ่ายตั้งรับในทุกๆ เรื่อง เผชิญปัญหาทั้งนอกทั้งใน
กระแสยี้รัฐบาลกำลังมาแรง โดยเฉพาะพฤติกรรมของ 2 ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐ อย่าง “เอ๋” ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี กับ สิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ที่ห่ามไร้ขอบเขต
ที่ฟัดกับ “ตู่นาแก” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร
แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า 2 ส.ส.จากค่ายแกนนำรัฐบาล ไม่ได้เข้ามาแก้เกม แต่เข้ามาก่อกวน จนคณะกรรมาธิการฯชุดนี้ ในสายตาสังคมกลายเป็นตลกคาเฟ่ หรือไม่ใช่ก็ใกล้เคียง
เรตติ้งไม่ต้องพูดถึง คนลุ้นให้จบเสียทีกับทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่มวลชนที่สนับสนุนฝ่ายค้าน แม้แต่ที่สนับสนุนรัฐบาลยังกุมขมับ รับกันไม่ได้กับพฤติกรรมเกรียนไม่เลิกของ 2 ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ
กรณีเอ๋ ปารีณา ถือครองที่ดินใน จ.ราชบุรี จำนวน กว่า 1,700 ไร่ รัฐบาลก็ถูกว่ากำลังจะใช้เครื่องมือรัฐฟอกขาวไม่ให้มีความผิด รัฐบาลโดนข้อหา “สองมาตรฐาน” เมื่อมีการเปรียบเทียบกับชาวบ้านตาดำๆ ที่มีลักษณะความผิดใกล้เคียงกัน
ขณะเดียวกัน การทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ก็อาการหนัก จากกรณีที่แพ้โหวตให้กับฝ่ายค้านในการลงมติญัตติเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาผลกระทบจากการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ซึ่งวิปรัฐบาลพยายามขอให้นับคะแนนใหม่ เพื่อแก้เกม
แม้ตามข้อบังคับการประชุมสภาฯ ข้อ 85 จะสามารถทำได้ แต่สังคมรู้อ่านกันออกว่า ฝ่ายรัฐบาลเพลี่ยงพล้ำ เนื่องจากมี ส.ส.บางคน ไปลงมติทิศทางเดียวกับฝ่ายค้าน ทำให้ต้องพ่ายแพ้ เลยพยายามจะขอนับคะแนนใหม่
งานนี้ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ถูกมองว่า ทำตัวเป็นเด็ก แพ้ไม่รู้จักแพ้ ถือว่าเสียหายพอสมควรกับปมนี้
หรือว่า ทางด้านการทำงานในพรรคร่วมรัฐบาลก็มีปัญหา พรรคพลังประชารัฐ ต้องทำสงครามภายในกับทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย
โดยเฉพาะการทำงานของทีมเศรษฐกิจ ที่พรรคพลังประชารัฐรู้สึกอึดอัดกับสองพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรคปชป. มุ่งแต่นโยบายตัวเอง ทำตัวเป็นเอกเทศ ไม่ค่อยให้เน้นกับนโยบายภาพรวม
พรรคภูมิใจไทยเดินหน้าไปตามทางของตนเอง มีทั้งการสร้างและรื้อผลงานรัฐบาลเก่าจนอีกฝ่ายไม่ค่อยสบายใจ บางเรื่องผลก็จะสะเทือนไปถึงความร่วมมือของการทำงานในสภาฯ
เนื่องจากหากพรรคร่วมรัฐบาลไม่ให้ความร่วมมือ การจะโหวตอะไรเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะเสียงระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลห่างกันไม่ถึง 10 ที่นั่ง
มันเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลกำลังเผชิญ จับสัญญาณ 2 ป. ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เลย
ทั้งทวงสัญญาลูกผู้ชาย ทั้งทวงถามสปิริต นี่แหละที่มันสะท้อนให้เห็นว่า มีสนิมเกิดแต่เนื้อในรัฐบาลจริงๆ
และทั้งหมดทำให้มีการประเมินว่า รัฐบาลอาจจะไปได้ไม่ไกล เพราะปัญหามากมาย ในช่วงขาลง จึงเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเดินหน้าสร้างกระแสตอกย้ำความชอบธรรมของรัฐบาล
นอกจากธนาธรจะออกไปขับเคลื่อนด้วยตัวเองแล้ว จะสังเกตว่า มวลชนอื่นๆ ก็เริ่มจัดอีเวนต์ที่ล้อเลียน เสียดสี รัฐบาลมากขึ้นเพื่อจุดกระแส อย่างเช่น “วิ่งไล่ลุง” เดินคู่ไปกับการรณรงค์ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่อยากเห็น
ดูเกมนี้แล้ว เป็นโมเดลคล้ายสมัย กปปส. ที่เล่นเรื่องในใจประชาชน โหมคู่ไปกับการโจมตีทำงานของรัฐบาลที่ติดลบหลายเรื่อง จนเกิดเป็นม็อบได้เมื่อจังหวะสุกงอม ตอนนี้ยังไม่ติด แต่ประมาทธนาธรไม่ได้แล้ว