หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ยื่นฟ้อง ประธาน กกต.กับพวก 7 คน ปฎิบัติหน้าที่มิชอบต่อศาลอาญาคดีทุจริต กรณี ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถือหุ้นสื่อ ขาดคุณสมบัติเป็นส.ส.
วันนี้ (18 พ.ย.) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้มอบหมายทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ,นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์, นายธวัชชัย เทิดเผ่าไทย,นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี,นายปกรณ์ มหรรณพ ,นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ และ นายฐิติเชฎฐ์ นุชนาฎ คณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นจำเลยที่ 1-7ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59,83,157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2560 มาตรา 69 เหตุเกิดที่ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ อาคารบี ถ.แจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.
คำฟ้องโจทก์สรุปว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ค.2562 จำเลยทั้ง 7 คน โดยจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ยื่นคำร้องให้พิจารณาวินิจฉัย เรื่อง ความเป็นสมาชิกภาพการเป็น ส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรื่องกิจ ผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง ต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยจำเลยทั้ง 7 คน อ้างว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งมีหลักฐานว่าโจทก็เป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ อันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) โดยจำเลยทั้ง 7 คน อ้างในคำร้องว่าปรากฏข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ได้จดทะเบียนนิติบุคคล เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2551 เดิมใช้ชื่อว่า บริษัท โซลิด มีเดีย (ประเทศไทย) จำกัด ต่อมาได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อ เป็นบริษัท วี-ลัดมีเดีย จำกัด เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2555ปัจจุบันมีกรรมการของบริษัทจำนวน 2 คน
คือ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ และน.ส.รุจิรพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ โดยผลผูกพันบริษัทจะมีกรรมการหนึ่งคนลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท มีทุนจดทะเบียน45,000,00 บาท (สี่สิบล้านบาทถ้วน) บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ได้ยื่นแบบแสดงรายการเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของห้างหุ้นส่วนบริษัทตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 83 (พ.ศ.2514) ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทโดยระบุสินค้าหรือ บริการที่ประกอบการคือ 1.ประกอบกิจการออกหนังสือพิมพ์
ซึ่งบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ได้ส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่ พ.ศ.2551 ถึง พ.ศ.2562 โดยปรากฏชื่อโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นใน บริษัทวี-ลัคมีเดีย จำกัด จำนวน 675,000 หุ้น ตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค.2558 โดยโจทก็ได้เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทวี-ลัคมีเดีย จำกัด เรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 มี.ค.2562 บริษัทวี-ลัคมีเดีย จำกัด จึงนำส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อแสดงให้แก่บุคคลภายนอกได้รับทราบถึงการโอนหุ้นดังกล่าวข้างต้น จำเลยทั้ง 7 คน พิจารณาแล้วเห็นว่า บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ได้มีการจดแจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ปรากฎวัตถุประสงค์เป็นผู้ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนใด ๆประกอบกับตามแบบนำส่งงบการเงิน (ส.บช.3) ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2559 (งบการเงินปี 2558) บริษัทมีรายได้จากการขายนิตยสารและการให้บริการโฆษณาเรายได้อื่นรวมทั้งแบบแสดงรายการเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของห้างหุ้นส่วนบริษัท ระบุว่าประกอบกิจการ ออกหนังสือพิมพ์ โรงพิมพ์ รับพิมพ์หนังสือพิมพ์ หนังสือจำหน่าย จึงถือว่าเป็นการประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ ประกอบกับสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) ปรากฏชื่อโจทก์ เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว จำนวน 675,000 หุ้น ตั้งแต่วันที่ 12 ม.ค. 2558 โดยโจทก์ได้เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 21 มี.ค.2562 โจทก์ได้โอนหุ้นหมายเลขดังกล่าวข้างต้นทั้งหมดให้แก่นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้เป็นผู้รับโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวข้างต้นทั้งหมดในบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด แทนโจทก์ จึงมีหลักฐานอันควรเชื่อ ได้ว่าโจทก์ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัดในวันสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ดังนั้นโจทก็จึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อันเป็นเหตุให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของโจทก์สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3)
จำเลยทั้ง 7 คน ได้มีมติเห็นว่า โจทก์เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ จึงทำให้สมาชิกภาพ การเป็นส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของโจทก์มีเหตุสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) จึงขอส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชวาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 82 วรรค 4 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 มาตรา 44 วรรค 4 โดยจำเลยทั้ง 7 คน มีคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูฐพิจารณาวินิจฉัย 1.ให้สมาชิกภาพการเป็น ส.ส.ของโจทก์สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พ.ศ.2560 มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) 2. มีคำสั่งให้โจทก็หยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลรัฐธรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามมาตรา 82 วรรคสอง 3. มีคำสั่งให้กำหนดมาตรการหรือวิธีการใด ๆ เป็นการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย ตามมาตรา 71 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธิพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พศ.2561 หรือตามที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นสมควร
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2562 ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องของคณะกรรมการเลือกตั้ง แล้ว เห็นว่าคดีดังกล่าว จำเลยุได้ขอใช้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้โจทก์หยุดปฏิบัติหน้ที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 วรรคสอง และปรากฎข้อมูลจากเอกสารประกอบคำร้องว่า ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นทุกครั้งจะส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ระบุวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นพร้อมมีหนังสือนำส่งนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครในเวลาใกล้ชิดกัน ซึ่งแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นในคดีนี้ และตามเอกสารประกอบคำร้องไม่ปรากฎว่ามีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น จึงปรากฎเหตุอันควรสงสัยว่าโจทก์มีกรณีตามที่ถูกร้อง ประกอบกับการปฏิบัติหน้ที่ของโจกอาจก่อให้เกิดปัญหาข้อกฎหมายและการคัดค้านโต้แย้งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานสำคัญของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ จึงมีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1ให้โจทก์หยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย
ซึ่งโจทก์ขอเรียนต่อศาลเกี่ยวกับประเด็นการถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ของโจกท์นั้น ก่อนที่คณะกรรมการเลือกตั้งจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โจทก์ได้ดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริงเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ คณะกรรมการเลือกตั้งหลายครั้งหลายหน พร้อมทั้งส่งมอบพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องประกอบคำชี้แจงของโจทก์ว่าได้ดำเนินการโอนหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ไปตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2562 แล้ว แต่จำเลยทั้ง 7 คน ซึ่งเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้งกลับเพิกเฉยไม่นำคำชี้แจงและพยานหลักฐานของโจทก์มาประกอบการพิจารณาแต่อย่างใด
ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2562 โจทก์จึงได้ยื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยแล้ว
สำหรับประเด็นการโอนหุ้นของโจทก์และข้อเท็จจริงที่ปรากฎในสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ที่ยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 21 มี.ค.2562 ดังกล่าวนั้นเป็นประเด็นข้อสำคัญยิ่ง ซึ่งจำเลยทั้ง 7 คน ซึ่งเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีหน้าที่จะต้องทำการสืบสวนไต่สวนแสวงหาข้อเท็จจริงให้ปรากฎว่า มีหลักฐานอันควรเชื่อว่าโจทก์กระทำผิดหรือไม่
ปรากฎว่าจำเลยทั้ง 7 คน กลับแจ้งข้อกล่าวหาโจทก์ในวันที่ 23 เม.ย.2562 โดยอาศัยเพียงเนื้อหาตามสำนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ลงวันที่ 21 มี.ค.2562 เท่านั้น
โดยวันที่ 24 เม.ย.2562 บริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัดได้มีการแจ้งข้อมูลพร้อมหลักฐานเกี่ยวกับหุ้นของโจทก็ในบริษัทไปยังประธานกรรมการช่วยตรวจสอบสำนวน นอกจากนี้โจทก์ยังมีหนังสือลงวันที่ 30 เม.ย.2562 และ 7 พ.ค.2562 ชี้แจงข้อเท็จจริง และแสดงหลักฐานเกี่ยวกับการถือหุ้น ในบริษัทดังกล่าวไปยังจำเลยทั้ง 7 ผ่านเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง
จากข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงของโจทก์นั้น ยังคงมีประเด็นสำคัญ คือโจทก์ได้มีการโอนหุ้นไปยังนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ในวันที่ 8 ม.ค.2562 หรือไม่ ซึ่งประเด็นข้อสำคัญเกี่ยวกับการโอนหุ้น โดยจำเลยทั้ง 7 คน ยังมิได้มีการสอบสวนพยานที่เกี่ยวข้องกับการลงนามในตราสารโอนหุ้นดังกล่าว
แต่กลับมีมติคณะกรรมการการเลือกตั้งในการประชุมครั้งที่ 63/ 2562 เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2562 และมีคำวินิจฉัยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ 19/2560 ลงวันที่ 14 พ.ค.2562 โดยอ้าง พยานหลักฐานเพียงสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น บอจ.5 ลงวันที่ 21 มี.ค. 2562ว่าปรากฏชื่อโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด และเมื่อวันที่ 16 พ.ค.2562ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้พิจารณาวินิจฉัย สมาชิกสภาพการเป็น ส.ส.ของโจทก์สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 101 ประกอบมาตรา 98 (3) หรือไม่
การที่จำเลยทั้ง 7 มีมติคณะกรรมการการเลือกตั้งในการประชุมครั้งที่ 63/ 2562 เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2562 มีคำวินิจฉัยคณะกรมการการลือกตั้ง ที่ 19/2560 ลงวันที่ 14 พ.ค.2562 และยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ว่าโจทก์เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ จึงทำให้สมาชิกสภาพส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของโจทก์มีเหตุสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ เนื่องจากโจทก์ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จนกว่าศาลรัฐธรมนูญจะมีคำวินิจฉัย และทำให้ชื่อเสียงโจทก์เสียหาย ประชาชนเข้าใจว่าโจทก์สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือโจทก์หลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดคุณสมบัติผู้รับสมัครรับเลือกตั้ง
จำเลยเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในฐานะที่เป็นองค์กรอิสระที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มีอำนาจหน้าที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรมนูญและกฎหมาย ทั้งนี้การปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจของจำเลยจะต้องเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม กล้าหาญ และปราศจากอคติทั้งปวงในการใช้ดุลพินิจ ตามมาตรา 215 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2560 โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าที่ของจำเลยทั้ง 7 คน ในฐานะคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตามมาตรา 224 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พ.ศ.2560 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งพ.ศ. 2560 ประกอบกับระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวน และการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2561 แต่จำเลยทั้ง 7 คน กลับกระทำการและละเว้นการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ อันมีลักษณะเป็นการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งโดยอาศัยเหตุที่ตนมีตำแหน่งหน้าที่อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหรือขั้นตอนตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย คณะกรรมการการเลือกตั้ง มาตรา 41 จึงเป็นการประพฤติมิชอบตามความหมายในพ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ.2559
ศาลอาญาคดีทุจริตฯ ได้รับคำร้องไว้เพื่อตรวจสอบคำฟ้องเบื้องต้นว่า จะไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ ในวันที่ 3 ธ.ค.2562 เวลา 09.00 น.