ยื่นค้านประกันเหยื่อแชร์ลูกโซ่ “โอดี แคปปิตอล” หลักพันล้านบาท ต่ออธิบดีศาลอาญา

MGR Online - ผู้บริหารคดีแชร์ลูกโซ่ “โอดี แคปปิตอล” กับพวกแล้ว บริษัทดังกล่าวไม่มีอยู่จริง หลอกเยื่อเงินนำมาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมก่อนเชิดเงินหนี มีชาวต่างชาติอยู่เบื้องหลัง ถือเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ แต่ ปปง.อายัดเงินในบัญชีธนาคารได้เพียง 100 ล้านเท่านั้น

วันนี้ (12 ก.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 10.00 น. นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย พร้อมผู้เสียหายเดินทางมายื่นหนังสือคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาคดีแชร์โอดี แคปปิตอล มูลค่าความเสียหายหลายพันล้านบาท ต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา

ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากการแถลงข่าวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่าได้จับกุม นายชินวัตร น้อยวัน ผู้ต้องหา จากการตรวจสอบพบว่า บริษัทไม่มีอยู่จริง เข้าข่ายหลอกลวงประชาชน กระทำผิดตาม พ.ร.บ.การกู้ยืนเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และยังสามารถยึดอาวุธปืนได้หลายกระบอก โดยมีสมาชิกผู้เสียหายประมาณ 5 แสนคน ความเสียหายหลายพันล้านบาท โดยพฤติการณ์ของแชร์ลูกโซ่คดีนี้จะมีการจัดประชุมผู้เสียหายหลายครั้งในหลายพื้นที่รวมทั้งต่างจังหวัด โดยมีชาวต่างชาติมาเลเซียเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ เราคิดว่าหลังการจับกุมจะครบกำหนดควบคุมตัว 48 ชั่วโมงแล้ว พนักงานสอบสวนต้องนำตัวผู้ต้องหามาขออนุญาตฝากขังต่อศาลอาญา ผู้เสียหายก็ได้มายื่นคำร้องร้องคัดค้านการประกันตัวไว้ เพราะเกรงว่าถ้าผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวจะไปยุ่งเหยิงกับพยาน เพราะตำรวจสามารถยึดอาวุธปืนได้ด้วย อีกทั้งตำรวจยังไม่ได้ดำเนินการปิดเซิร์ฟเวอร์ของเครือข่าย ทำให้ขบวนการแชร์โอดี แคปปิตอล ยังหลอกลวงประชาชนได้อยู่

ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้เสียหายก็กังวลกับเงินที่โดนหลอกให้ลงทุนแชร์ลูกโซ่ นอกจากนี้ยังมีผู้เสียหายที่ยังไม่ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน เขาไม่ทราบว่าจะต้องแจ้งความต่อหน่วยงานใด ดังนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรจะตั้งคณะทำงานหรือชุดเฉพาะกิจมาช่วยเหลือรับแจ้งความจากผู้เสียหายที่มีอยู่ทั่วประเทศ เห็นว่าคดีแชร์ลูกโซ่นี้แม้จะสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว แต่ทรัพย์สินอื่น เช่น รถยนต์ยังไม่ได้มีการยึดยายัด ผู้เสียหายเกรงว่าจะได้ทรัพย์สินคืนครบถ้วนหรือไม่ จึงจำเป็นต้องขุดรากถอนโคนขบวนการแชร์ลูกโซ่คดีนี้ โดยติดตามตรวจสอบทรัพย์สินอื่น ทั้งตู้เซฟ ทองคำ และเงินสด เพื่อป้องกันการโยกย้ายถ่ายโอน เพราะคดีนี้ ปปง.อายัดเงินในบัญชีธนาคารของเครือข่ายแชร์ลูกโซ่ได้เพียง 100 กว่าล้านบาทเท่านั้น

เมื่อถามว่าคดีนี้ทราบว่าผู้ต้องหาบางรายได้รับการประกันตัวใช่หรือไม่ ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า คดีนี้ที่อ้างว่าเป็นอาญากรรมข้ามชาติ มีอัยการสูงสุดมาร่วมสอบสวนด้วย พนักงานสอบสวนได้ใช้ดุลพินิจอย่างไรในการให้ประกันตัว เพราะว่าจับกุมผู้ต้องหาแชร์โอดี แคปปิตอล ได้ถึง 22 คน จากที่ศาลอาญาออกหมายจับทั้งหมด 32 คน ถือเป็นเครือขายใหญ่ อย่างคดีแชร์ลูกโซ่ โชกุน ผู้ต้องหามีประมาณ 10 คน ยังต้องมาฝากขังต่อศาลอาญา หรือคดีแชร์ลูกโซ่ ยูฟัน ก็ต้องนำตัวมาฝากขัง เพื่อที่จะสร้างความเป็นธรรมให้ประชาชน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบให้ปัญหาแชร์ลูกโซ่ให้เป็นวาระแห่งชาติ ที่มีนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เป็นผู้รับผิดชอบ จึงควรมีแนวทางว่าคดีใหญ่แบบนี้ควรจะให้ประกันตัวหรือไม่ ตอนนี้เราไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนให้ประกันตัวผู้ต้องหารายใดไปบ้าง แต่เราก็จะยื่นคัดค้านทั้งหมด โดยเข้าใจว่าคดีใหญ่ คดีอุกฉกรรจ์ที่มีความเสียหายจำนวนมากแบบนี้ มีอาวุธปืน ไม่น่าจะประกันตัวในชั้นสอบสวนได้ จึงเดินทางมายื่นคัดค้านกันประกันตัว และรอดูตอนเย็นนี้ว่าจะมีการนำตัวผู้ต้องหามาฝากขังหรือไม่

ด้านนายพุทธินัย บุณนาค หนึ่งในผู้เสียหายกล่าวว่า มีผู้เสียหายอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้เข้าแจ้งความ อาจจะคิดว่าไม่ได้เงินคืนแล้ว ส่วนตนได้หลงเชื่อขบวนการแชร์ลูกโซ่ โดยเมื่อปี 2556 ได้นำเงินมาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียม ประมาณ 600,000 บาท ตามคำชักชวนและอ้างว่าจะนำเงินไปลงทุนหุ้นด้วย หลังจากนั้นประมาณ 6-7 เดือน ถึงจะจ่ายผลประโยชน์ให้ แต่ภายหลังกลับไม่สามารถจ่ายเงินให้ตามที่กล่าวอ้าง ทำให้ตนไม่มีเงินไปผ่อนคอนโดฯ ซึ่งผู้ที่ชักชวนให้มาลงทุนกับขบวนการแชร์โอดี แคปปิตอล ก็คือเพื่อนของเพื่อน ซึ่งพฤติการณ์ของเครือข่ายนี้มีลักษณะชักชวนคนมาลงทุน โดยบอกต่อๆ กัน อ้างว่าจะได้ผลตอบแทนมาก 10-15 เปอร์เซ็นต์ และมีธุรกิจของเครือข่ายที่น่าเชื่อถือ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่ในที่สุด