MGR online - ออกระเบียบอัยการสูงสุด ฉบับที่ 2 ให้อำนาจอัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่ไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือกระทบต่อความปลอดภัย ความมั่นคงกระทบสถาบันฯ ตาม ม.112 หรือผลประโยชน์ของชาติ
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด วันนี้ (28 มิ.ย.) นายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุด ได้ออกระเบียบอัยการสูงสุดว่าด้วยการสั่งคดีที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 15 มิ.ย. 2561 ประกาศลงราชกิจจานุเบกษาวันที่ 27 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งให้อำนาจอัยการสูงสุด สั่งคดีที่กระทบต่อความมั่นคงได้โดยตรง ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้
“ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการสั่งคดีอาญาที่จะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 ให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งคดีโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ. อัยการ ปี 2553 สำนักงานอัยการสูงสุดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการอัยการ ออกระเบียบดังนี้...
ข้อที่ 7 ในกรณีพนักงานอัยการเห็นว่าการฟ้องคดีจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัย หรือความมั่นคงของชาติ หรือผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศ ให้พนักงานอัยการพิจารณาโดยแสดงเหตุผลอันสมควรประกอบโดยให้คำนึงถึง สาเหตุ มูลเหตุจูงใจในการกระทำผิด ลักษณะความร้ายแรง ผลร้ายที่เกิดขึ้น, เหตุผลของกระทรวงการต่างประเทศ ถึงผลกระทบต่อนโยบายส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ, เหตุผลตามความเห็นของนายกรัฐมนตรี หรือหน่วยงานอื่น ถึงผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ถ้าอัยการสูงสุดเห็นเอง หรือหัวหน้าพนักงานอัยการเสนอ ว่า การฟ้องคดีใดไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ฯลฯ อัยการสูงสุดมีอำนาจ สั่งไม่ฟ้องหรือถอนฟ้อง แล้วแต่กรณี
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ระเบียบฯ ที่ประกาศใช้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบฯ ฉบับเดิมซึ่งประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ. 2554 โดยเป็นการเพิ่มปัจจัยที่นำมาในการพิจารณาสั่งไม่ฟ้องคดีที่จะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัย หรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศ โดยเพิ่มเติมในเรื่อง “เหตุผลตามความเห็นของนายกรัฐมนตรีหรือหน่วยงานอื่นถึงผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์”
และเพิ่มเติมในประเด็นอำนาจในการสั่งไม่ฟ้องคดีที่ไม่เป็นประโยชน์ฯ ซึ่งเดิมต้องเป็นการเสนอเรื่องขึ้นมาจากพนักงานอัยการที่พิจารณาคดีตามลำดับชั้นเท่านั้น แต่ระเบียบฯ ที่แก้ไขนี้ หากอัยการสูงสุดเห็นเอง เช่น ได้รับเรื่องจากส่วนราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเห็นว่าเป็นประเด็นดังกล่าว อัยการสูงสุดมีอำนาจที่จะสั่งไม่ฟ้องหรือถอนฟ้องคดีนั้นได้โดยตรง
คดีตัวอย่าง เช่น ชายพรากหญิงซึ่งเป็นเพื่อนและรักใคร่กันขณะเกิดเหตุอายุไม่เกิน 18 ปี แม่ฝ่ายหญิงแจ้งความร้องทุกข์พนักงานสอบสวนก็สอบสวนตามปกติ และเสนอความเห็นควรสั่งฟ้อง แต่ผู้ต้องหาหลบหนี ส่งสำนวนมายังพนักงานอัยการ ก็มีการสั่งให้ออกหมายจับตัวมาดำเนินคดีต่อไป แต่ข้อเท็จจริงภายหลังจากนั้นได้ความว่าชายหญิงได้แต่งงานกันและอยู่กินกันฉันสามีภริยาจนมีบุตรด้วยกัน (มีภาพถ่ายงานแต่งงานและหลักฐานการมีบุตรมาแสดง) ต่อมา ฝ่ายชายจะไปทำงานต่างประเทศ แต่ถูกจับที่สนามบินเนื่องจากมีหมายจับที่เคยสั่งจับไว้ และส่งสำนวนมายังพนักงานอัยการ กรณีอย่างนี้ เคยมีพนักงานอัยการเสนอความเห็น สั่งไม่ฟ้องผู้ชายเพราะเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน ถ้าฟ้องไปกลับจะเกิดปัญหาเพราะลูกต้องห่างพ่อ ภรรยาต้องห่างสามีครอบครัวก็ขาดเสาหลักที่จะทำมาหาเลี้ยงครอบครัว
การดำเนินการสั่งคดีตามระเบียบฯ นี้ถือว่าเป็นเรื่องดุลพินิจของ พนักงานอัยการที่จะเสนอสั่งไม่ฟ้องแม้ว่าผู้กระทำความผิดจะกระทำความผิดจริงตามที่กล่าวหาก็ตาม แต่โดยประการสำคัญ ก็จะเป็นดุลยพินิจ ที่อัยการสูงสุดจะพิจารณาสั่งการ จึงเป็นระเบียบฯที่จะช่วยแก้ปัญหากระบวนการยุติธรรมอีกทางหนึ่ง
นายโกศลวัฒน์ กล่าวต่อว่า แม้อัยการจะมีอำนาจสั่งไม่ฟ้อง หรือถอนฟ้อง แต่ทางเลือกที่ดีที่สุด คือ ทุกคนไม่ควรไปสุ่มเสี่ยงกระทำการที่ผิดกฎหมาย เพื่อไม่ต้องนำความทุกข์ที่ร้ายแรงมาสู่ตนเองและครอบครัว จะดีที่สุดเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม อย่าล่วงเลยมาถึงชั้นให้อัยการสูงสุดต้องสั่งไม่ฟ้องคดีเนื่องจากเป็นคดีไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเลย ขอให้ประชาชนปฏิบัติตามกฏหมายเพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคมจะดีกว่า
ทั้งนี้ หากประชาชนเดือดร้อนมีคดีความหรือ มีปัญหากฎหมาย ให้มาปรึกษาอัยการคุ้มครองสิทธิ์และช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ที่สำนักงานอัยการใกล้บ้านท่าน จะสามารถแก้ไขปัญหาในชั้นต้นได้ดีที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีที่ไม่เป็นประโยชน์สาธารณะ หรือจะกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัย ที่อัยการสูงสุดในอดีตเคยสั่งไม่ฟ้อง เช่น คดีจับเครื่องบินสัญชาติยุโรปตะวันออกแห่งหนึ่งขนจรวดขีปนาวุธแวะมาเติมน้ำมันที่กรุงเทพฯ ก่อนเดินทางไปส่งผู้ก่อการร้ายในอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งเป็นผลให้ประเทศผู้เสียหายที่แท้จริงรับตัวไปดำเนินคดีกันเอง เพื่อประเทศไทยจะได้ไม่เป็นคู่พิพาทกับผู้ก่อการร้าย หรือตัวอย่างคดีที่กระทบต่อสถาบันฯ เช่น คดีตามกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นต้น