MGR Online - ศาลอนุญาตค้านประกันตัวบอสแสบหลอกจัดคอร์สสัมมนา ฐานฉ้อโกงและร่วมกันฟอกเงิน มูลค่าเสียหายกว่า 5,000 ล้าน ตามคำร้อง นำตัวขังเรือนจำทันที ผู้เสียหายชี้เข้าข่ายแชร์ลูกโช่ ตุ๋นเงินเหยื่อและได้ถอนเงินจากบัญชีไปเกลี้ยง
วันนี้ (10 ส.ค.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ร.ต.ท.ภุชงศ์ เม้าทุ่ง พนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ได้ควบคุมตัวนายภูดิศ กิตติธราดิลก อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 288/8 หมู่ 5 ต.ปากเกร็ด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ผู้ต้องหาคดีแชร์ลูกโซ่จัดคอร์สสัมมนา ข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฟอกเงิน ตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 1151/2560 มูลค่าความเสียหายร่วม 5,000 ล้านบาท ซึ่งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ มาขออำนาจศาลฝากขังครั้งแรก
คำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์ว่า คดีนี้ผู้เสียหาย คือ นางศิวัชญา พลอยงาม กับพวกรวม 17 คน ได้มาร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีต่อนายภูดิศ กิตติธราดิลก กรรมการผู้มีอำนาจบริษัท อินโนวิชั่น โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัทเดอะซิสเต็ม ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ จำกัด ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และฟอกเงิน เพื่อให้ได้รับโทษตามกฎหมาย จากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานปรากฏข้อเท็จจริงว่าบริษัททั้งสองดังกล่าวได้หลอกลวงผู้อื่นด้วยการจัดสัมมนาแก่ประชาชนทั่วไปโดยใช้สถานที่โรงแรมชื่อดังย่านลาดพร้าว และรัชดาภิเษก และที่ห้องสัมมนาของบริษัทฯ โดยนายภูดิศได้ขึ้นเวทีบรรยายและมีการฉายสไลด์ด้วย เนื้อหาจะพูดกล่าวอ้างว่าบริษัททั้งสองดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการการคอร์สสัมมนา สอนเกี่ยวกับการลงทุนและชักชวนให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาลงทุนกับบริษัท อ้างว่าจะจ่ายเงินปันผลตอบแทนให้แก่สมาชิกผู้ร่วมลงทุนในอัตราสูงในระยะเวลาอันสั้น คือ ผลตอบแทนอัตรา 1 เปอร์เซ็นต์ต่อวัน จากราคาแพกเกจที่ซื้อ และจะจ่ายเงินปันผลทุกสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 52 สัปดาห์ หากผู้ใดสามารถชักชวนผู้อื่นมาซื้อแพกเกจด้วยทางบริษัทก็จะจ่ายผลตอบแทนเป็นค่าแนะนำในอัตรา 5 เปอร์เซ็นต์ของยอดเงินที่ซื้อแพกเกจนอกเหนือจากเงินปันผลอีกด้วย และบอกให้คนที่มาซื้อแพกเกจคนใหม่ชักชวนคนอื่นต่อไปเป็นทอดๆ โดยได้ค่าตอบแทนเช่นเดียวกัน เมื่อกลุ่มผู้เสียหายทั้ง 17 คนได้ฟังการบรรยายแล้วเห็นว่าเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงในระยะเวลาอันสั้นจึงหลงเชื่อและจ่ายเงินซื้อคอร์สสัมมนาโดยทยอยซื้อไปเรื่อยๆ ในช่วงแรกทางบริษัทจ่ายเงินปันผลให้ในอัตราร้อยละ 1 ต่อวันจริง ยิ่งทำให้เชื่อว่าได้รับผลตอบแทนที่สูงมาก หลังจากนั้นจึงพากันทุ่มเงินซื้อคอร์สสัมมนาเพิ่มอีก รวมเป็นเงิน 42,527,896 บาท ช่วงแรกบริษัทได้จ่ายเงินปันผลให้แล้วรวม 16,764,218 บาท แต่ต่อมาภายหลังบริษัทไม่จ่ายเงินปันผลและไม่สามารถติดต่อกับทางบริษัทได้ คงเหลือเงินที่ค้างจ่ายอีกจำนวน 25,763,678 บาท
จากการตรวจสอบหนังสือการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัททั้งสองดังกล่าวพบว่า มีนายภูดิศเป็นกรรมการผู้มีอำนาจเพียงคนเดียว และบริษัทตั้งอยู่อาคารเดียวกัน คือ อาคารฟอรั่ม ถนนรัชดาภิเษก แขวงและเขตห้วยขวาง กทม. และพบว่าบริษัททั้งสองปิดทำการไปแล้ว สอบสวนเส้นทางการเงินพบว่าบริษัททั้งสองและนายภูดิศได้เปิดบัญชีเงินฝากไว้ที่ธนาคารกสิกรไทยจำนวนหลายบัญชีเพื่อการระดมเงิน โดยให้สมาชิกที่ซื้อแพกเกจโอนเงินเข้าบัญชีดังกล่าว และเป็นการนำเงินของสมาชิกคนใหม่มาจ่ายให้สมาชิกคนเก่าในลักษณะหมุนเงิน โดยจ่ายผ่านบัญชีเงินฝากของสมาชิก แต่ภายหลังไม่จ่ายอีกต่อไป ปรากฏว่ามีผู้หลงเชื่อจำนวนมาก ในแต่ละวันมียอดเงินโอนเข้าบัญชีที่เปิดไว้ดังกล่าวจำนวนมากและมีการทยอยถอนเงินออกไปรวม 11 บัญชี จำนวนเงิน 5,333,742,677.80 บาทจนเกือบหมดทุกบัญชี ทั้งนี้เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินที่ผู้ต้องหาได้มาและครอบครอง โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำผิดกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและข้อหาฉ้อโกงเงินประชาชน แต่ผู้ต้องหาได้ถอนเงินออกไปเพื่อนำไปใช้โดยทุจริตและหลบหนีไป ต่อมาเมื่อวันที่ 13 พ.ค. 2560 พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอหมายจับต่อศาลอาญา และเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวนายภูดิศ ผู้ต้องหาได้เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2560 เวลา 17.50 น. จึงนำส่งพนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง ดำเนินคดีตามกฎหมาย การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 343 พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 4, 12 พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3 (3), 5 (3), 60, 61 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
เหตุเกิดที่บริษัท อินโนวิชั่น โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัทเดอะซิสเต็ม ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ จำกัด อาคารฟอรั่ม ถ.รัชดาภิเษก แขวงและเขตห้วยขวาง กทม. ธนาคารกสิการไทย สาขายูเนี่ยนมอลล์ ลาดพร้าว แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม.และอื่นๆ
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้จะครบ 48 ชั่วโมงแล้ว แต่ยังสอบสวนไม่เสร็จ ต้องสอบปากคำพยานอีก 10 ปาก, รอผลการตรวจลายนิ้วมือและประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหา และเอกสารอื่นๆ จึงขออำนาจศาลฝากขังเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 10-21 ส.ค. 2560 นอกจากนี้ หากผู้ต้องหายื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว พนักงานสอบสวนขอคัดค้านเนื่องจากคดีนี้ผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนีมาตั้งแต่แรก พฤติการณ์กระทำผิดลักษณะเป็นขบวนการและเครือข่าย กระทำผิดในหลายท้องที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก บางส่วนไปร้องทุกข์ไว้ตามสถานีตำรวจท้องที่ต่างๆ และบางส่วนไปร้องทุกข์ดำเนินคดีไว้ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ อีกทั้งผู้เสียหายบางส่วนยื่นคำร้องขอคัดค้านการประกันตัวด้วย เบื้องต้นมีผู้เสียหายกว่า 3,000 คน มูลค่าความเสียหายประมาณ 5,000 ล้านบาท
ศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตให้ฝากขัง
ต่อมาญาติของนายภูดิศ ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นตึกแถว 2 ชั้น เนื้อที่ 55 ตารางวา มูลค่า 2 ล้านบาทเศษ ขอปล่อยชั่วคราว
อย่างไรก็ตามศาลพิเคราะห์ พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่า คดีมีผู้เสียหายจำนวนมาก มูลค่าความเสียหายสูง มีลักษณะกระทำเป็นขบวนการ ประกอบกับพนักสอบสวนคัดค้านการประกัน ในชั้นนี้จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง
ต่อมาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้นำตัวนายภูดิศ ไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
สำหรับบรรยากาศที่ศาลอาญาในวันนี้ กลุ่มผู้เสียหายจากคดีแชร์ลูกโซ่ได้นัดรวมตัวกันที่ศาลอาญาประมาณเกือบ 20 คน พร้อมนำหลักฐานและเอกสารการลงทุนซื้อคอร์สอบรมสัมมนามายื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวนายภูดิศ ผู้ต้องหาคดีหลอกลวงประชาชนประเภทแชร์ลูกโซ่ หลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง จับกุมตัวไว้ได้และนำตัวมาฝากขัง
นายพัฒน์ขจร เนียมจันทร์ อายุ 54 ปี อดีตข้าราชการ หนึ่งในกลุ่มผู้เสียหายเปิดเผยว่า นายภูดิศเป็นเจ้าของบริษัท อินโนเวชั้น โฮดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับการลงทุนทางธุรกิจการจัดคอร์สสัมมนา เนื้อหาส่วนใหญ่จะจูงใจให้ผู้เข้าร่วมคอร์สสัมมนา นำเงินมาร่วมลงทุนทำธุรกิจกับบริษัทฯ โดยผู้ร่วมลงทุนจะได้รับเงินปันผลวันละ 1% และจะจ่ายเงินให้ทุกๆ 7 วัน มีผู้เสียหายถูกหลอกลวงเงินไปลงทุนหลายพันคน ตั้งแต่หลักพันบาทถึงหลักแสนบาท ส่วนสาเหตุที่หลงเชื่อเนื่องจากเห็นว่านายภูดิศได้เปิดบริษัทของตัวเอง 8-9 บริษัท ดูน่าร่วมลงทุน และยังนำรางวัลที่ได้รับจากหน่วยงานเอกชนและราชการต่างๆ มายืนยันเพื่อให้มีความน่าเชื่อถือ และในช่วงแรกๆ ผู้ต้องหาสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่สมาชิกได้จริงเป็นเวลานานเกือบ 1 ปี ทำให้พวกตนหลงเชื่อว่าจะไม่น่าจะถูกหลอกจึงได้ร่วมลงทุนดังกล่าวเพิ่มขึ้นอีก แต่ภายหลังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลให้ได้เป็นเวลานานหลายเดือน เมื่อสอบถามก็ได้รับการบ่ายเบี่ยง จากนั้นผู้ต้องหาได้เดินทางไปต่างประเทศ ก่อนจะกลับมาประเทศไทยและถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดี ก่อนหน้านี้พวกเราก็ไปร้องทุกข์ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ และกองปราบปรามไว้ด้วย ขณะนี้ทราบว่าผู้ต้องหาได้ถอนเงินจากบัญชีไปเกือบเกลี้ยงบัญชีแล้ว แต่ก็ยังหวังว่าจะได้เงินคืนบ้าง