MGR Online - ดีเอสไอแถลงผลการปราบปรามรถหรูเลี่ยงภาษีรวมทั้งหมด 124 คัน ทำรัฐเสียหายกว่า 1,800 ล้านบาท โดยจะมีการเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาของ 5 กลุ่มบริษัท รวมถึงผู้ซื้ออาจตกเป็นผู้เสียหาย
วันนี้ (1 ก.ค.) เวลา 13.30 น. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วย พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีดีเอสไอ นายชัยยุทธ คำคุณ รองอธิบดีกรมศุลกากร และ นายกีรติ รัชโน รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ร่วมแถลงความคืบหน้ากรณีการปราบปรามการนำเข้ารถยนต์ที่ลักลอบนำเข้าและหลีกเลี่ยงการชำระภาษีศุลกากร ทำรัฐเสียหายกว่า 1,800 ล้านบาท
พ.ต.อ.ไพสิฐ เปิดเผยว่า ดีเอสไอได้ดำเนินการปราบปรามขบวนการนำรถยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีอากรและสำแดงราคาต่ำกว่าความเป็นจริง รวมทั้งขบวนการทำรถจดประกอบผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยมีการบูรณาการกับ กรมศุลกากร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการเข้าตรวจค้นตามหมายค้นศาลอาญาเมื่อวันที่ 18 และ 24 พ.ค. 60 สามารถอายัดรถยนต์สมรรถนะสูง (SUPER CAR) หลายยี่ห้อไว้เพื่อตรวจสอบจำนวน 160 คัน อาทิ ลัมบอร์กินี, โรลส์รอยซ์, แมคคาเรน, โลตัส เป็นต้น รวมทั้งมีการดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในการประสานข้อมูลกับทางการประเทศต้นทางของรถยนต์เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับราคาซื้อขายที่แท้จริง เพื่อประกอบการสืบสวนสอบสวน และขอให้กรมศุลกากรประเมินราคารถยนต์เบื้องต้น ตามเอกสารหลักฐานของ ดีเอสไอ
“ทั้งนี้ กรมศุลกากรได้จัดส่งข้อมูลบัญชีรายละเอียดภาษีอากรขาดกลับมายัง ดีเอสไอ ล็อตแรก จำนวน 32 คัน พบว่า มีมูลค่าภาษีอากรขาด รวมประมาณ 673 ล้านบาท ล่าสุด กรมศุลกากร ได้จัดส่งข้อมูลบัญชีรายละเอียดภาษีอากรขาดกลับมา ดีเอสไอ เป็นล็อตสอง จำนวน 92 คัน มีมูลค่าภาษีอากรขาด ประมาณ 1,165 ล้านบาท รวมทั้งหมด 124 คัน มูลค่าภาษีอากรขาดทั้งสิ้น 1,838 ล้านบาท โดยคณะพนักงานสอบสวนได้รับกรณีของรถยนต์สมรรถนะสูง เป็นคดีพิเศษแล้ว จำนวน 43 คดี และในส่วนของผู้ครอบครองรถยนต์ได้เชิญมารับรถยนต์กลับไปดูแลรักษาจำนวน 59 คัน”
ด้าน นายชัยยุทธ เปิดเผยว่า กรมศุลกากร ได้รับข้อมูลจาก ดีเอสไอ เพื่อประเมินราคาจัดเก็บภาษี โดยจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ พบว่า ใบขนสินค้าของผู้นำเข้าแสดงราคาต่ำกว่าข้อเท็จจริงและดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว 2 ล็อต ส่งมอบให้ ดีเอสไอ แต่ยังเหลือรถอีกจำนวนมากก็จะทยอยตรวจสอบต่อไป ซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดโอกาสให้ผู้นำเข้ามาชี้แจ้งก่อนหากไม่สามารถให้ข้อมูลได้จะต้องเรียกเก็บภาษีที่ขาดหายไป
ส่วนทาง นายกีรติ ระบุว่า กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ อนุญาตให้นำเข้ารถยนต์ส่วนบุคคลเก่าใช้แล้วมาในประเทศได้ โดยนักเรียนหรือผู้ทำงานเมืองนอกที่มีใบขับขี่ต่างประเทศอยากนำเข้ารถจะต้องมีการตรวจสอบเอกสารแต่ไม่เห็นรถยนต์ ซึ่งเมื่อปี 59 มีรถยนต์นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ตรวจสอบพบว่าปลอมใบขับขี่และทะเบียน รวม 20 คัน ดำเนินการเพิกถอนแล้ว ก่อนประสาน ดีเอสไอ เพื่อให้สืบสวนกระบวนการดังกล่าว นอกจากนี้ จากการตรวจเอกสารย้อนหลังยังพบข้อเท็จจริง ว่า ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2550 - ปัจจุบัน กรมการค้าต่างประเทศได้อนุญาตให้นำเข้ารถยนต์ใช้แล้วเพื่อใช้เฉพาะตัวรวมจำนวน 815 คัน
ขณะที่ พ.ต.ท.กรวัชร์ เผยว่า สำหรับล็อตสอง ส่วนใหญ่เป็นยี่ห้อ มาเซราติ (Maserati) และ ลัมบอร์กินี ซึ่ง ดีเอสไอ จะมีการเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาของ 5 กลุ่มบริษัทผู้นำเข้าล็อตสอง รวมถึงผู้ซื้ออาจตกเป็นผู้เสียหายและจะมีหนังสือเชิญกำหนดวันเวลามาให้ตรวจสภาพรถยนต์เพราะคดีมุ่งเน้นผู้นำเข้าที่เลี่ยงภาษี ส่วนกรมการค้าต่างประเทศ พบการปลอมเอกสารจากประเทศญี่ปุ่นและอื่นๆ ต้องรอตรวจสอบข้อมูลก่อน อย่างไรก็ตาม หากมีกลุ่มบุคคลแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ดีเอสไอไปเคาะประตูหน้าบ้านเพื่อรับเคลียร์เอกสารรถยนต์ โปรดแจ้งมายัง ดีเอสไอ เพราะไม่มีเจ้าหน้าที่ไปเรียกร้องกรณีดังกล่าวเด็ดขาด
“ส่วนรถโจรกรรมจากประเทศอังกฤษ ดีเอสไอ ได้รับข้อมูลส่งมาบ้างแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการประสานหารือข้อกฎหมายเพราะมีการกระทำผิดที่อังกฤษแต่รถยนต์อยู่ในประเทศไทยว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป”