xs
xsm
sm
md
lg

“พันศักดิ์” อ้างจำนำข้าวกระตุ้นเศรษฐกิจ ศาลเรียก “หม่อมเต่านา” ไต่สวนฐานข่มขู่อัยการ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


MGR Online - “พันศักดิ์” เบิกความเป็นพยานจำเลย อ้างโครงการรับจำนำข้าวยุค “ยิ่งลักษณ์” กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน รัฐได้ภาษีคืน ด้านศาลสั่งตั้งองค์คณะไต่สวนกรณีข่มขู่อัยการ ออกหมายเรียก “หม่อมเต่านา” มาให้การ

วันนี้ (9 ธ.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีจำนำข้าว พร้อมองค์คณะรวม 9 คน ได้ไต่สวนพยานจำเลยนัดที่ 7 คดีหมายเลขดำที่ อม.22/2558 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อายุ 49 ปี อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท

วันนี้ฝ่ายจำเลยเตรียมพยานให้ศาลไต่สวน 2 ปาก คือ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อดีตประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านโยบายเศรษฐกิจ และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย โดยทนายจำเลยนำนายพันศักดิ์ขึ้นเบิกความตอบคำถามอัยการ สรุปว่า ไม่ทราบเรื่องการทุจริตโครงการจำนำข้าวและไม่ทราบถึงการซื้อขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เพราะไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรง หลังจากนั้นนายพันศักดิ์เบิกความตอบคำถามทนายจำเลยว่า การอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจจะส่งผลทำให้ระบบเศรษฐกิจเกิดความเคลื่อนไหว มีแรงกระเพื่อม ไม่ว่าเงินที่นำมาใช้นั้นจะเป็นในส่วนใดผลก็คือก่อให้เกิดการอุปโภคบริโภค ส่งผลดีต่อโครงสร้างอุตสาหกรรม ทำให้รักษาระดับการจ้างงานคงอยู่ การดำเนินโครงการสาธารณะเปรียบเหมือนการนำเงินของประชาชนเอาไปให้ประชาชน โดยผลสุดท้ายเงินก็จะย้อนกลับสู่รัฐในรูปของภาษี

การใช้จ่ายของรัฐบาลในโครงการนี้มีเหตุผลจะคงไว้ซึ่งความสงบของบ้านเมืองและความน่าเชื่อถือ ดังนั้นจึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจะมีการระบุรายได้ย้อนกลับมาเท่าใด แต่ความมั่นคงทางบัญชีและความสงบของบ้านเมืองจะส่งผลกลับมาที่ไม่สามารถบอกเป็นตัวเลขได้ ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจในบริบทโลกที่ผันผวนในขณะนั้น ซึ่งประเทศไทยได้พึ่งพิงการส่งออกกว่าร้อยละ 70 สิ่งสำคัญคือต้องทำให้อัตราการเติบโตภายในประเทศที่เหลือมีความนิ่งมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การอัดฉีดหรือกู้เงินเพื่อสร้างเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ โครงการจำนำข้าวเป็นการนำเงินเข้าสู่ในระบบและหิ้วระบบไว้ไม่ให้ล้ม ส่วนที่ว่าโครงการจำนำข้าวจะเป็นภาระต่อประเทศหรือไม่นั้น นายพันศักดิ์ระบุว่า โครงการจำนำข้าวเป็นภาระที่ควรจะมีและรัฐบาลควรจะบริหารภาระเพื่อประชาชน

ต่อมาขณะที่ทนายจำเลยนำนายเรืองไกรขึ้นไต่สวนพยาน ทางพนักงานอัยการโจทก์ไม่ติดใจสอบถามพยานจำเลยปากนี้ นายเรืองไกรจึงได้เบิกความตอบทนายจำเลยถึงประเด็นการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 3/2558 ในวันที่ 18 พฤษภาคม 58 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน ที่มีการระบุถึง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะประธาน นบข.ได้สั่งการให้สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ ไปดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในความรับผิดทางละเมิดจากโครงการรับจำนำข้าวให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาส่งฟ้องในเดือน ก.พ. 2559 โดยไม่ต้องคำนึงถึงประเด็นความยุติธรรม

นายเรืองไกรเบิกความว่า ตนได้ข้อมูลมาจากการค้นหาผ่านเว็บไซต์กูเกิลซึ่งมีรายละเอียดไม่ครบถ้วน จึงขออนุญาตอ่านเอกสารฉบับเต็มดังกล่าวเพื่อเบิกความในประเด็นได้อย่างถูกต้อง โดยองค์คณะพิจารณาแล้วอนุญาตให้นำเอกสารเกี่ยวกับการประชุม นบข.ดังกล่าวให้พยานจำเลยอ่านและอนุญาตให้ทำคำเบิกความมายื่นในภายหลังได้ พร้อมกำชับให้ทนายจำเลยบริหารจัดการพยานเพื่อนำมาเบิกความต่อศาลได้ทันกำหนด 21 กรกฎาคม 2560 ซึ่งตามระบบราชการศาลไม่อาจเลื่อนการพิจารณาออกไปไกลกว่านี้ได้อีก

ภายหลังเบิกความเสร็จ ศาลนัดไต่สวนพยานจำเลยปากต่อไปอีกครั้งในวันที่ 14 ธ.ค. 2559

ขณะที่นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความจำเลยเปิดเผยว่า ในวันนี้ศาลได้อ่านรายงานกระบวนพิจารณา โดยมีคำสั่งในคำร้องที่พนักงานอัยการโจทก์ยื่นคำร้องกรณีถูกคุกคาม โดยองค์คณะได้มีคำสั่งให้ตั้งสำนวนไต่สวนละเมิดอำนาจศาล โดยให้มีองค์คณะ 3 คนเป็นผู้ไต่สวน พร้อมทั้งออกหมายเรียก ม.ล.มิ่งมงคล โสณกุล หรือหม่อมเต่านา และผู้ถูกกล่าวหาอีกหนึ่งรายซึ่งตนจำชื่อสกุลไม่ได้ เพื่อมาไต่สวนต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์คณะผู้พิพากษายังแจ้งว่า อัยการโจทก์ได้ยื่นคำร้องระบุว่า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ขณะกำลังจะออกจากห้องพิจารณามีบุคคลชาย-หญิงที่ได้เข้ามาร่วมฟังการพิจารณาคดี แสดงพฤติกรรมลักษณะข่มขู่โจทก์ด้วยการจ้องหน้าด้วยความเคียดแค้นจนทำให้เกิดความหวาดกลัว กดดันในการทำคดีนี้ ดังนั้น ศาลจึงจะออกข้อกำหนดเตือนผู้ที่อยู่ในห้องพิจารณาและบริเวณโดยรอบศาล ห้ามแสดงพฤติกรรมข่มขู่โจทก์-จำเลย และพยานในลักษณะที่เกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายและทรัพย์สินของโจทก์-จำเลย และพยาน รวมทั้งห้ามพกพาอาวุธหรือถ่ายภาพในห้องพิจารณา และกระทำการใดอันเป็นการละเมิดอำนาจศาล องค์คณะฯ จะให้ติดประกาศข้อกำหนดนี้ไว้ที่หน้าอาคารศาล โดยให้ทุกคนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล ส่วนบุคคลที่โจทก์อ้างถึงและมีภาพถ่ายยืนยันต่อศาลแล้ว ศาลจะออกหมายเรียกมาไต่สวนในวันที่ 9 ธันวาคมนี้ เวลา 09.30 น.


กำลังโหลดความคิดเห็น