xs
xsm
sm
md
lg

ศาลอุทธรณ์ริบทรัพย์ “สุพจน์” อดีตปลัดคมนาคม รวม 64 ล้านบาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

สุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม (แฟ้มภาพ)
MGR Online - “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดคมนาคม ถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ริบทรัพย์เพิ่มเป็นจำนวนเงินกว่า 64 ล้านบาท รวมทั้งเงินฝาก 3 บัญชี และรถโฟล์ค ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ด้านทนายจำเลยเตรียมฎีกาสู้คดี

วันนี้ (11 พ.ย.) ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีริบทรัพย์ หมายเลขดำ ปช.1/2555 ที่อัยการสูงสุด ได้ยื่นคำร้องเมื่อเดือน ก.พ. 2555 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์, นางนฤมล หรือเพ็ญพิมล ทรัพย์ล้อม ภรรยา, น.ส.สุทธิวรรณ ทรัพย์ล้อม บุตรสาว, น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม หรือปราบใหญ่ บุตรสาว, นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ บุตรเขย และผู้ใกล้ชิดรวม 7 ราย ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 และมาตรา 80 (2) ซึ่งทรัพย์สินมีทั้งสิ้น 19 รายการประกอบด้วย เงินสด 17,553,000 บาทซึ่งเป็นของกลางในคดีอาญาปล้นบ้านนายสุพจน์ หมายเลขดำ 2458/2544 ของสน.วังทองหลาง, เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ต่างๆ 9 บัญชี, ทองคำรูปพรรณ น้ำหนัก 10 บาท มูลค่า 260,000 บาท ซึ่งเป็นของกลางในคดีอาญาปล้นบ้านนายสุพจน์ หมายเลขดำ 2458/2544 ของ สน.วังทองหลาง, โฉนดที่ดินใน กทม.พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และใน จ.นครนายก รวม 6 แปลง, ห้องชุดคอนโดมิเนียมใน กทม.มูลค่า 1.5 ล้านบาท และรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น E 230 และรุ่น C 220 มูลค่า 5.2 ล้านบาท โดยการยื่นคำร้องดังกล่าวสืบเนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตรวจสอบทรัพย์สินแล้วหลังจากเกิดที่เหตุคนร้ายบุกปล้นบ้านนายสุพจน์ ในซอยลาดพร้าว 64 เมื่อค่ำวันที่ 12 พ.ย. 2554 ซึ่งผู้ต้องหาที่ร่วมทำผิดคดีอาญานั้นได้ให้การเกี่ยวกับทรัพย์สินว่าพบเงินสดในบ้านนายสุพจน์นับร้อยล้านซึ่งนายสุพจน์ไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินต่างๆได้ จึงชี้มูลความผิดว่า นายสุพจน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ

โดยนายสุพจน์ได้ยื่นคัดค้านคำร้องอ้างว่า ทรัพย์สินนั้นผู้คัดค้านได้มีมาแต่เดิมและได้มากว่า 10 ปี การขอให้ทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดินเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ทำให้ผู้คัดค้านได้รับความเสียหาย ซึ่งผู้คัดค้านเคยยื่นบัญชีแสดงต่อคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.ไปแล้ว และ ป.ป.ช.ไม่แสดงความเห็นคัดค้านแต่อย่างใด

ขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา วันที่ 31 ม.ค. 2557 เห็นว่า ข้อกล่าวอ้างของนายสุพจน์ เลื่อนลอย รวมทั้งการโต้แย้งและคัดค้านของนายสุพจน์ไม่อาจจะนำมารับฟังได้ เช่น การอ้างว่าเข้ารับราชการตั้งแต่ เมื่อ พ.ศ. 2520 จนกระทั่งถึงวันยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2545 มาคิดคำนวณแล้วจะเป็นเงินประมาณ 5,000,000 บาทเศษ ก็น่าเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้นไปกว่าเดิม เพราะเหตุใดนายสุพจน์ จึงมีทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วจะมีทรัพย์สินรวมกันจนถึงวันที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ลงมติว่าร่ำรวยผิดปกติเมื่อปี พ.ศ. 2545 มีมูลค่าสูงถึงที่ศาลนำมาวินิจฉัยจำนวน 46 ล้านบาทเศษ ศาลจึงพิพากษาให้ทรัพย์สินตามคำร้องของอัยการสูงสุด 19 รายการ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 46,141,038.83 บาทของนายสุพจน์ และที่มีชื่อของภรรยา, บุตรสาว และบุตรเขยของนายสุพจน์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นนั้น ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542 โดยให้นายสุพจน์ส่งมอบทรัพย์สินต่อกระทรวงการคลัง ต่อมานายสุพจน์และครอบครัวได้ยื่นอุทธรณ์ โดยนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันนี้ ฝ่ายของนายสุพจน์มีเพียงนายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความผู้รับมอบอำนาจเดินทางมาศาล

ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ทรัพย์ตามคำร้องได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าและเกิดจากความร่ำรวยผิดปกติ จึงต้องสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ทรัพย์สินรวม 46,141,038 .83 บาท ตกเป็นของแผ่นดินโดยนำบัญชีเงินฝาก 3 บัญชี ที่ปิดแล้วจำนวน 15,857,548.69 บาท หักออกจากมูลค่าทรัพย์สิน ที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วย เมื่อฟังได้ว่านายสุพจน์ ผู้คัดค้านที่ 1 ร่ำรวยผิดปกติ แม้ภายหลังมีการปิดดังกล่าวแล้วก็ต้องนำเงิน 15,857,548.69 บาท มารวมอยู่ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติด้วย ส่วนรถยนต์ยี่ห้อ VOLK SWAGEN มูลค่า 3 ล้านบาทแม้ไม่มีชื่อของนายสุพจน์เป็นเจ้าของ แต่ฟังได้ว่ามีการมอบรถให้นายสุพจน์ใช้อย่างถาวรจึงเป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเกิดจากการร่ำรวยผิดปกติ เมื่อนำทรัพย์สินดังกล่าวกับมูลค่าทรัพย์สินที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว จะรวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587.52 บาท

ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้รถยนต์ยี่ห้อ VOLK SWAGEN มูลค่า 3 ล้านบาท รวมกับทรัพย์สินอื่นตามคำสั่งศาลชั้นต้น รวมมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587.52 บาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน

ภายหลังนายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความของนายสุพจน์ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้มีการพิจารณาเพิ่มทรัพย์สินให้ตกเป็นของแผ่นดินซึ่งขณะนี้ได้ขอคัดคำพิพากษาฉบับเต็มเพื่อตรวจดูรายละเอียดที่จะพิจารณาประเด็นยื่นฎีกาต่อสู้ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ป.ป.ช.ได้มีมติเอกฉันท์เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2555 ว่านายสุพจน์มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์สินซึ่งไม่สามารถชี้แจงที่มาได้จำนวน 64,998,587.52 บาท จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน

สำหรับคดีอาญาปล้นบ้านนายสุพจน์ หมายเลขดำ อ.347/2555 นั้น ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2556 ให้จำคุก 12 ปี และปรับ 60 บาท นายสิงห์ทอง หรือเสธ.ไก่ ใจชมชื่น จำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยมีอาวุธและยานพาหนะ ส่วนนายเสาร์แก้ว นามวงค์ กับ นายสมบูรณ์หรือบูรณ์ ริยะเทน จำเลยที่ 2-3 จำคุก 9 ปี และปรับ 45 บาท

นายบุญสืบ หรือสืบ โจมกัน และนายวณัญกฤต หรือจ่อย บุตรกันหา จำเลยที่ 4 และ 6 ให้จำคุก 2 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันรับของโจร ส่วนนายวุฒิชัย หรือวุฒิ พันธวารี และ น.ส.วาสนา สาเพิ่มทรัพย์ จำเลยที่ 5 และ 9 ให้จำคุก 3 ปี 4 เดือน และนายชยธัช หรือเอก จันนะชัย จำเลยที่ 8 ให้จำคุก 8 ปี ฐานสนับสนุนการปล้นทรัพย์ ส่วนนายประพันธ์ เรียงเครือ จำเลยที่ 7 พิพากษายกฟ้อง โดยคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วเป็นคดีหมายเลขแดง ที่ อ.1119/2556
กำลังโหลดความคิดเห็น