ศาลฎีกาพิพากษายืนจำคุก 1 ปี รอลงอาญา ปรับ 1 แสน “ปราโมทย์ นาครทรรพ” นักวิชาการอิสระตีพิมพ์บทความยุทธศาสตร์ปฏิญญาฟินแลนด์ ปี 49 พาดพิง “ไทยรักไทย-ทักษิณ”
ที่ห้องพิจารณา 807 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (21 ต.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.1747/2549 ที่พรรคไทยรักไทย และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.), บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ (ศาลยกฟ้องในชั้นไต่สวน), นายขุนทอง ลอเสรีวานิช อดีตบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และนายปัญจภัทร อังคสุวรรณ ผู้ดูแลเว็บไซต์ผู้จัดการ เป็นจำเลย ที่ 1-5 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา และดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328, 393
ตามฟ้องโจทก์ปี 2549 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 17-25 พ.ค. 2549 จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันตีพิมพ์และเผยแพร่โฆษณาบทความ “ยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ : แผนการเปลี่ยนแปลงการปกครองไทย?” ของนายปราโมทย์ จำเลยที่ 1 ลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และเว็บไซต์ โดยใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย โจทก์ที่ 1 และนายทักษิณ โจทก์ที่ 2 ให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง จำเลยให้การปฏิเสธ
โดยศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2552 เห็นว่าบทความรวม 5 ตอนลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และเผยแพร่ในเว็บไซต์ ที่นายปราโมทย์ จำเลยที่ 1 เป็นผู้เขียนนั้น ข้อความกล่าวถึงโจทก์ ทำนองว่ามีนโยบายที่ต้องการทำลายระบบราชการไทย การสร้างระบบการเมืองพรรคเดียว และล้มล้างสถาบันเบื้องสูง แต่จำเลยที่ 1 ไม่มีบุคคลเป็นพยานเบิกความ และไม่นำสืบให้เห็นว่าโจทก์ทั้งสองได้กระทำการล้มล้างการปกครองแต่อย่างใด บทความนั้นจึงไม่ได้เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ตามหลักวิชาการ โดยนายขุนทอง จำเลยที่ 4 เป็น บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการรายวัน มีหน้าที่กลั่นกรองเนื้อหาก่อนตีพิมพ์ เชื่อว่าจำเลยที่ 4 มีส่วนรู้เห็นและทราบว่าบทความดังกล่าวมีเนื้อหาดูหมิ่นโจทก์ทั้งสอง จึงให้จำคุกจำเลยที่ 1 และ 4 เป็นเวลา 1 ปี และปรับคนละ 100,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 เป็นนักวิชาการ นักประชาธิปไตย และจำเลยที่ 4 เป็นนักหนังสือพิมพ์ เคยสร้างคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติ ที่กระทำผิดเพราะต้องการปกป้องสถาบันที่เคารพ ประกอบกับ จำเลยที่ 1 และ 4 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้ร่วมกันโฆษณาคำพิพากษาลงในหนังสือพิมพ์รายวัน 5 ฉบับ ประกอบด้วย ผู้จัดการ ไทยรัฐ เดลินิวส์ บ้านเมือง และมติชน ส่วน บมจ.แมเนเจอร์ฯ จำเลยที่ 2 และนายปัญจภัทร ผู้ดูแลเว็บไซต์ผู้จัดการ จำเลยที่ 5 ให้ยกฟ้อง
ต่อมาจำเลยที่ 1 และ 4 ยื่นอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง ซึ่งอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 5 เม.ย. 56 ยืนบทลงโทษในส่วนของนายปราโมทย์ จำเลยที่ 1 ผู้เขียนบทความ แต่นายขุนทอง บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ จำเลยที่ 4 พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องเนื่องจากห็นว่ายังไม่มีมูลว่ากระทำความผิด ขณะที่นายปราโมทย์ จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า ประเด็นที่นายปราโมทย์ จำเลยที่ 1 ยื่นฎีกาประเด็นอำนาจฟ้องของพรรคไทยรักไทย โจทก์ที่ 1, การมอบอำนาจให้นายนพดล มีวรรณะ เป็นผู้แทนยื่นฟ้องและเบิกความนั้น นายนพดลไม่ใช่ผู้เสียหายแท้จริง และการพิจารณาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 ที่เกินคำขอของโจทก์และประเด็นอื่น รวม 5 ประเด็นนั้น เป็นการโต้แย้งประเด็นข้อเท็จจริง ซึ่งคดีนี้ศาลล่างทั้ง 2 ศาล พิพากษายืนในส่วนของจำเลยที่ 1 จึงต้องห้ามฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริง และจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง จึงไม่อาจรับฎีกาจำเลยไว้วินิจฉัยได้ ที่ศาลอุทธรณ์ ลงโทษจำเลยที่ 1 นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืนที่ให้จำคุก 1 ปี และปรับ 100,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา มีกำหนด 2 ปี และให้โฆษณาคำพิพากษาย่อใน นสพ.ผู้จัดการ ไทยรัฐ เดลินิวส์ บ้านเมือง มติชน เป็นเวลา 7 ติดต่อกันด้วยอักษรขนาดปกติ โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
ภายหลังฟังคำพิพากษา นายปราโมทย์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ไม่ติดใจผลคำพิพากษา ถือว่าคดีถึงที่สุดแล้ว อย่างไรก็ดี ตนก็ยังจะเขียนบทความเรื่องต่างๆ ต่อไป ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับบทความปฏิญญาฟินแลนด์นั้น ตนไม่ใช่คนแรกที่พูด แต่มีนักวิชาการอื่นเคยพูดก่อนซึ่งตนไม่เคยใช้คำว่าปฏิญญาฟินแลนด์ แต่ใช้คำว่ายุทธศาสตร์ฟินแลนด์ โดยมีคดีที่อดีตนายกฯ ทักษิณยื่นฟ้อง 2 สำนวน ที่อีกสำนวนศาลได้ยกฟ้องไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีเกี่ยวกับปฏิญญาฟินแลนด์นั้น นอกจากคดีของนายปราโมทย์ หมายเลขดำ ที่ อ.1747/2549 นี้แล้ว พรรคไทยรักไทยและอดีตนายกฯ ทักษิณ ยังได้ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำ พธม., นายปราโมทย์ และสื่อเครือผู้จัดการรวม 11 ราย เป็นจำเลยคดีหมายเลขดำ ที่ อ.1818/2549 ในความผิดเดียวกันนี้ด้วย ซึ่งศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนเมื่อปี 2556 ให้ยกฟ้องตามศาลชั้นต้น