ศาลอาญา รัชดาภิเษก อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นฟ้อง นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ ผู้บริหารแผน นายขุนทอง ลอเสรีวานิช และนายปัญจภัทร อังคสุวรรณ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐาน หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและดูหมิ่นด้วยการโฆษณา สืบเนื่องจากวันที่ 17-25 พฤษภาคม 2549 จำเลยทั้ง 5 ได้ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างวาระ โดยได้ร่วมกันตีพิมพ์ และเผยแพร่โฆษณาบทความ ยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ : แผนการเปลี่ยนแปลงการปกครองไทย ? ของจำเลยที่ 1 ลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และเว็บไซต์ โดยใส่ร้ายโจทก์ให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อความที่จำเลยที่ 1 เขียนบทความเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ รวม 5 ตอน ลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และเผยแพร่ในเว็บไซต์
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษา ว่า บทความเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ 5 ตอนที่เผยแพร่ ในหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการและเผยแพร่ในเว็บไซต์ ที่จำเลยที่ 1 เขียนพาดพิงถึงโจทก์ทำนอง ว่ามีนโยบายที่ต้องการทำลายระบบราชการไทย การสร้างระบบการเมืองพรรคเดียว และล้มล้างสถาบันเบื้องสูง แต่ชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 กลับไม่นำสืบว่าโจทก์ทั้งสองกระทำการล้มล้างการปกครองแต่อย่างใด ขณะที่ท้ายบทความยังได้ให้ประชาชนต่อต้านโจทก์ทั้งสองที่กำลังลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในวันที่ 2 เม.ย.49 ซึ่งไม่ได้เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ส่วนจำเลยที่ 4 เป็น บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการรายวัน มีหน้าที่กลั่นกรองเนื้อหาก่อนตีพิมพ์ จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 4 มีส่วนรู้เห็นและทราบว่าบทความดังกล่าวมีเนื้อหาดูหมิ่นโจทก์ด้วย ให้จำคุกจำเลยที่ 1 และ 4 คนละ 1 ปี และปรับคนละ 100,000 บาทแต่จำเลยที่ 1 เป็นนักวิชาการ นักประชาธิปไตยและจำเลยที่ 4 เป็นนักหนังสือพิมพ์ เคยสร้างคุณงามความดีให้กับประเทศชาติ ที่กระทำผิดเพราะต้องการปกป้องสถาบันที่เคารพ ประกอบกับจำเลยทั้งสองไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้จำเลยทั้งสองร่วมกัน โฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์รายวัน 5 ฉบับเป็นเวลา 7 วันติดต่อกันด้วย ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 5
ต่อมาจำเลยทั้งสอง ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามฟ้องที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้วจึงพิพากษายืน แต่ในส่วนจำเลยที่ 4 เห็นว่า ยังไม่มีมูลว่ากระทำการที่เป็นความผิด จึงพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4 วันนี้(21 ต.ค.) ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นทุกข้อ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกา เห็นพ้องด้วย
คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษา ว่า บทความเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ 5 ตอนที่เผยแพร่ ในหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการและเผยแพร่ในเว็บไซต์ ที่จำเลยที่ 1 เขียนพาดพิงถึงโจทก์ทำนอง ว่ามีนโยบายที่ต้องการทำลายระบบราชการไทย การสร้างระบบการเมืองพรรคเดียว และล้มล้างสถาบันเบื้องสูง แต่ชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 กลับไม่นำสืบว่าโจทก์ทั้งสองกระทำการล้มล้างการปกครองแต่อย่างใด ขณะที่ท้ายบทความยังได้ให้ประชาชนต่อต้านโจทก์ทั้งสองที่กำลังลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในวันที่ 2 เม.ย.49 ซึ่งไม่ได้เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ส่วนจำเลยที่ 4 เป็น บก.ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการรายวัน มีหน้าที่กลั่นกรองเนื้อหาก่อนตีพิมพ์ จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 4 มีส่วนรู้เห็นและทราบว่าบทความดังกล่าวมีเนื้อหาดูหมิ่นโจทก์ด้วย ให้จำคุกจำเลยที่ 1 และ 4 คนละ 1 ปี และปรับคนละ 100,000 บาทแต่จำเลยที่ 1 เป็นนักวิชาการ นักประชาธิปไตยและจำเลยที่ 4 เป็นนักหนังสือพิมพ์ เคยสร้างคุณงามความดีให้กับประเทศชาติ ที่กระทำผิดเพราะต้องการปกป้องสถาบันที่เคารพ ประกอบกับจำเลยทั้งสองไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้จำเลยทั้งสองร่วมกัน โฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์รายวัน 5 ฉบับเป็นเวลา 7 วันติดต่อกันด้วย ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 5
ต่อมาจำเลยทั้งสอง ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามฟ้องที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้วจึงพิพากษายืน แต่ในส่วนจำเลยที่ 4 เห็นว่า ยังไม่มีมูลว่ากระทำการที่เป็นความผิด จึงพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4 วันนี้(21 ต.ค.) ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นทุกข้อ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกา เห็นพ้องด้วย