ASTV ผู้จัดการ - “น้องตั๊น” เละเป็นโจ๊ก ไม่รู้โง่หรือฉลาด เปิดประเด็นหมายจับคดีกบฏ นอกจากตำรวจไม่สนยังรับสมัครหน้าตาเฉย แฉคอร์รัปชันอำนาจเต็มรูปแบบ ยุคใครยุคมัน ย้อนรอยลูกคนดังเข้าสอบบรรจุภายในเพียบ ตั้งแต่ 2 พี่น้องตระกูล “อยู่บำรุง” อาจหาญ-ดวง ลูกชาย “สมยศ-ผัวนางเอกดัง สงกรานต์ เตชะณรงค์”
ตำรวจทั่วประเทศน้ำตาคลอเมื่อเห็นป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถูกทำลาย... ความรู้สึกยากจะบรรยายนี้หลายคนอาจจะลืมไปแล้ว แม้กระทั่ง น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร หรือ “น้องตั๊น” ทายาทเบียร์สิงห์ในฐานะนักการเมืองรุ่นใหม่ไฟแรง อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และผู้ช่วยเลขานุการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย แต่สำหรับข้าราชการตำรวจเกือบ 3 แสนคน ยังไม่อาจลืมภาพเหตุการณ์ระหว่างการชุมนุมประท้วงของกลุ่มประชาชนที่เรียกตัวเองว่า “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ช่วงปี 2556-2557 มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย มีทั้งการลอบทำร้ายกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยการขว้างระเบิดสังหารเข้าใส่ หรือบางครั้งใช้เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ยิงถล่มประชาชนผู้ร่วมชุมนุมบาดเจ็บ และเสียชีวิตจำนวนมาก จนสิ้นสุดการชุมนุมมีประชาชนเสียฃีวิต 28 ราย บาดเจ็บอีกร่วมพันคน
สำหรับตำรวจเองต้องนับว่าความวุ่นวายทางการเมืองในครั้งนั้น สร้างรอยแผลลึกๆ ฝังในใจอยู่เช่นกัน เช่น กรณี ด.ต.ณรงค์ ปิติสิทธิ์ ผบ.หมู่ จร.สน.ตลาดพลู ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างควบคุมฝูงชนที่สนามกีฬาดินแดงไทย-ญี่ปุ่น หรือเหตุการณ์ “เตะระเบิด” เพื่อรักษาชีวิตเพื่อนตำรวจด้วยกันของ ด.ต.ธีระเดช เล็กภู่ ผบ.หมู่ สภ.แสนสุข จ.ชลบุรี จนได้รับบาดเจ็บอาการสาหัส นอนรักษาตัวนานแรมปีเป็นต้น แต่นั่นคือเรื่องที่ตำรวจทุกคนพอทำใจได้ เพราะเมื่อเกิดการกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรงถึงขั้นใช้อาวุธก็ยากที่จะไม่ให้เกิดความสูญเสีย ยกเว้นกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมบุกทำลายป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ยังคงติดตาตรึงใจตำรวจส่วนใหญ่อย่างไม่รู้ลืม เพราะนั่นคือการย่ำยีศักดิ์ศรีตำรวจไทยอย่างที่สุดแล้ว
ความขัดแย้งจนเกิดเป็นจลาจลจบลงเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในขณะนั้นนำกำลังเข้ายึดอำนาจ ตำรวจทั้งหมดยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บาดแผลทั้งฝ่ายประชาชนผู้ชุมนุมกับตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งค่อยๆ จางลงไปกับกาลเวลา รวมทั้งมาตรการเยียวยาต่างๆ ที่ทุกฝ่ายได้รับ กระทั่งมีมือดีเผยแพร่เอกสารการสมัครเข้าเป็นข้าราชการตำรวจระดับรองสารวัตรของ น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร หรือน้องตั๊น แห่งมวลชน กปปส.เท่านั้นเอง กระแสต่อต้านเกิดขึ้นอย่างรุนแรง และรวดเร็ว ทั้งนี้ จากบรรดาเว็บเพจต่างๆ ทั้งในส่วนของตำรวจเอง และกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับ กปปส. ต่างออกมาด่าทอ รุมประณาม บางรายนำภาพเหตุการณ์เก่าๆ กลับมาโพสต์ลงอย่างละเอียดทั้งคลิประหว่างการบุกทำลายป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภาพความรุนแรงระหว่างการชุมนุมส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับตำรวจที่เป็นฝ่ายถูกประชาชนกระทำ
กระแสต่อต้าน น.ส.จิตภัสร์ ลุกลามอย่างต่อเนื่อง มีการประกาศเชิญชวนให้ข้าราชการตำรวจทุกนายที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ ให้แสดงสัญลักษณ์ด้วยการผูกริบบิ้นสีดำไว้ที่เสาวิทยุสื่อสาร หรือเสาวิทยุรถยนต์ กระจกมองข้างรถยนต์ และจักรยานยนต์ ในระหว่างความไม่พอใจของข้าราชการตำรวจส่วนหนึ่งกับขั้วการเมืองตรงข้าม กปปส.กำลังขยายวงออกไป พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ออกมายอมรับว่า “น้องตั๊น” ได้ยื่นใบสมัครเป็นรองสารวัตรฝ่ายอำนวยการสังกัด 191 กองบัญชาการตำรวจนครบาล จริง แต่ยังมีขั้นตอนต่างๆ อีกมากมาย
“ผมในฐานะ ผบ.ตร. ขอยืนยันกับเพื่อนข้าราชการตำรวจ ว่า จะใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ โดยยึดหลักความเหมาะสม ถูกต้อง และระเบียบข้อบังคับอย่างรอบคอบ โดยยึดหลักความเหมาะสม ถูกต้อง ระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนกฎหมายเป็นสำคัญ” แต่ดูเหมือนว่า “เครดิต” ของ ผบ.ตร. จะไม่สามารถหยุดกระแสไม่พอใจที่เกิดขึ้น จน พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผบก.191 “ต้นเรื่อง” ต้องออกมา “ตัดเกม” โดยยืนยันว่าแนวคิดดังกล่าวมาจากการขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญภาษาต่างประเทศ กองบัญชาการตำรวจนครบาล จึงเปิดรับสมัครบุคคลภายนอก กรณี น.ส.จิตภัสร์ ผ่านการสอบสัมภาษณ์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ เสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อพิจารณาอีกครั้ง หากสามารถผ่านไปได้จะติดยศ ส.ต.ต. และอบรมอีก 4-6 เดือน จึงมีสิทธิติดยศ ร.ต.ต. “เราต้องการตำรวจชำนาญภาษา เพื่อรองรับ AEC น่าเสียดายที่น้องเขาจะถอนชื่อในวันที่ 21 ก.ย. นี้”
เป็นอันว่าเรื่องราวต่างๆ ที่กำลังเป็นประเด็นร้อน เริ่มผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว แต่ความ “ข้องใจ” หรือถึงขั้นไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในหมู่ข้าราชการตำรวจ ไม่มีใครรับรอง หรือคาดได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตำรวจทั่วทั้งประเทศรู้สึกกันอย่างไร แน่นอนว่าธรรมชาติของการอยู่รอด และ “วินัย” ที่ค้ำคออยู่ ตำรวจชั้นผู้น้อย หรือในทุกระดับอาจแสดงความกระด้างกระเดื่องออกมาให้เห็นได้ แต่ในระยะยาวอำนาจการเมืองที่จำเป็นต้องอาศัยตำรวจเป็นเครื่องไม้เครื่องมือนี่ อาจเป็นการก้าวพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย เพียงแค่การใช้อำนาจ หรือเพียงแค่แสดงให้พวกพ้องเห็นถึง “น้ำใจ” แต่กลับเป็นการ “ย่ำยี” แผลเก่าที่กำลังเลือนๆ ไปแล้ว เกิดการอักเสบ ปวดแสบปวดร้อนชนิดยอมกันไม่ได้
สำหรับปฏิบัติการส่งเสริม-ผลักดันให้ “น้องตั๊น” คนสวยแห่งมวลชนคน “นกหวีด” เข้ารับราชการตำรวจ มองเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากความสนิทสนมในฐานะเป็นลูกรักของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริงเสียงจริงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลกลใด โง่ หรือฉลาด แต่ระบบ “อภิสิทธิชน” รับบุคคลภายนอกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีกันมาช้านานแล้ว สังเกตจากทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา มักมีบรรดาลูกท่านหลานเธอ “สมัครภายใน” กันอยู่เสมอๆ เช่นสองพี่น้องคนดังแห่งตระกูล “อยู่บำรุง” อาจหาญ-ดวง, หมวดสงกรานต์ เตชะณรงค์, “หมวดอ้าย” รชต พุ่มพันธ์ม่วง และทรงพันธ์ กุลดิลก เป็นต้นแบบของการใช้อำนาจ หรือเส้นสายในห้วงเวลานั้น ใครก็ตามที่ได้คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็มักใช้ “อภิสิทธิ์” ตรงนี้ “เปิดช่อง” ใช้ทางลัดให้สมุนบริวาร เข้ามา “สอยดาว” เป็นว่าเล่น ทั้งที่จริงแล้วข้ออ้างต่างๆ เช่น เพื่อช่วยสร้างภาพลักษณ์ ช่วยประชาสัมพันธ์ล้วนเป็นเพียงเหตุผลจอมปลอม กระทั่งล่าสุดโยงไปถึงการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หรือ AEC จึงจำเป็นต้องรับ น.ส.จิตภัสร์ กฤดากร นักการเมืองสาวคนดังจากค่าย ปชป. ที่ผันตัวมาเป็นนักเคลื่อนไหวในกลุ่ม กปปส.
แค่เพียงคุณสมบัติการเป็นอดีตนักการเมือง รวมทั้งนักเคลื่อนไหวที่มีคู่ขัดแย้งอย่างมากมาย ก็น่าเชื่อว่า เพียงพอต่อการขาดคุณสมบัติในลักษณะ “ต้องห้าม” แล้ว แต่ในระหว่างนี้ “น้องตั๊น” ยังตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันกบฏ-ยุยงให้ประชาชนละเมิดกฎหมาย ร่วมกันก่อเหตุวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งสำนักอัยการสูงสุดได้สั่งฟ้องคดีไปแล้ว เหตุใดกองบังคับการตำรวจ 191 ภายใต้การนำของ พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ - กองบัญชาการตำรวจนครบาล ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. จึงขานรับกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย ท่านทราบไหมว่า น.ส.จิตภัสร์นั้น มีหมายจับคดีร้ายแรงคาอยู่ การเข้าไปสมัครหรือสอบสัมภาษณ์กับ บก.191 อาจะเข้าข่ายมีใครละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
ทุกประเด็น ทุกคำถาม แม้จะเค้นถามกันอย่างไรก็เชื่อได้เลยว่าคำตอบไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่สิ่งที่จะเกิดต่อนี้ไปก็คือพฤติกรรมต่างๆ ที่ผู้มีอำนาจเคยด่า หรือประณามใครไว้ วันนี้พิสูจน์แล้วว่าในยุคที่ขึ้นชื่อว่าประเทศชาติกำลังปฏิรูป ไม่มีการทุจริตคอรัปชันกลับมีการ “คอร์รัปชันอำนาจ” ใช้อำนาจหน้าที่อย่างเกินเลย ขาดหลักธรรมาภิบาลถึงขั้นเลวร้ายไม่ต่างอะไรจากยุคนักการเมืองเลวๆ ที่เคยทำไว้