ASTVผู้จัดการ - ศาลฎีกาฯ ยกคำร้องทนาย “ยิ่งลักษณ์” ขอให้รอพิจารณาคดีโกงจำนำข้าวไว้ชั่วคราว ระบุไม่ต้องทำความเห็นเสนอศาลปกครองตามที่จำเลยร้องขอ พร้อมยกคำร้องขอคัดค้านบัญชีพยานที่อัยการสูงสุดยื่นเพิ่ม นัดคู่ความอีกครั้งเพื่อกำหนดวันไต่สวนพยาน 29 ต.ค.นี้
เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (31 ส.ค.) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ศาลได้นัดพิจารณาคดีครั้งแรกในคดีทุจริตจำนำข้าว หมายเลขดำที่ อม.22/2558 ระหว่างอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลย ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ที่ละเลยไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวสร้างความเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท โดย น.ส.ยิ่งลักษณเดินทางมาศาลพร้อมทนายความ แกนนำพรรคเพื่อไทย อาทิ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรมว.ศึกษาธิการ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรมว.ต่างประเทศ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตรมว.พาณิชย์ นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายก่อแก้ว พิกุลทอง และมวลชนที่มาให้กำลังใจประมาณ 100 กว่าคน
ต่อมาเวลา 10.30 น.นายวีระพล ตั้งสุวรรณ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวน พร้อมคณะรวม 9 คนออกนั่งบัลลังก์ พร้อมอ่านคำสั่งที่ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลรอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว เนื่องจากคดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาฯ แต่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองและได้ทำความเห็นส่งไปให้ศาลปกครองพิจารณา ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ.2542 มาตรา 10 แล้ว โดยโจทก์ได้รับสำเนาและคัดค้านว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาฯ ไม่ได้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
องค์คณะฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ และพ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 9 (1) บัญญัติให้ศาลมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่มีมูลแห่งคดีเป็นการกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ตามกฎหมายอื่น แม้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 จะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 24/2557 ก็ยังให้พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาฯ มีผลใช้บังคับต่อไป
เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้อง กล่าวหาจำเลยเกี่ยวกับความรับผิดในการปฏิบัติหน้าที่และขอให้ลงโทษทางอาญา ซึ่งตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 มาตรา 11 (1)-(9) ไม่มีกรณีใดเลยที่ให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา ดังนั้น กรณีที่จำเลยยื่นคำร้อง จึงไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของพ.ร.บ.ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดฯ มาตรา 10 วรรคหนึ่ง จึงไม่มีเหตุที่จะรอการพิจารณาคดีไว้ชั่วคราว ให้ยกคำร้อง
ส่วนที่ทนายจำเลย ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 27 ส.ค. คัดค้านพยานบุคคล 23 ปาก และพยานเอกสารของโจทก์ โดยอ้างว่าโจทก์เพิ่มเติมพยานโดยไม่สุจริต มุ่งเอาเปรียบจำเลยโดยไม่เป็นธรรม เพราะเป็นพยานหลักฐานที่ไม่มีการไต่สวนมาก่อน จึงขอให้ศาลไม่รับบัญชีพยานดังกล่าวเข้าสู่สำนวน
องค์คณะฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคกีอาญาฯ มาตรา 5 ให้ศาลยึดรายงานของคณะกรรมการป.ป.ช.เป็นหลักในการพิจารณาคดี แต่ก็ให้อำนาจศาลไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร โดยศาลมีอำนาจเรียกเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากบุคคล หรือเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำ และจำเลยก็มีสิทธิ์นำพยานเข้าไต่สวนเพื่อหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้อยู่แล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะไม่รับบัญชีพยานของโจทก์ตามที่จำเลยคัดค้าน ให้ยกคำร้องดังกล่าว
ทั้งนี้ในการตรวจพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์ได้ส่งพยานเอกสารจำนวน 160 แฟ้ม ขณะที่ฝ่ายจำเลยส่งพยานเอกสาร 61 แฟ้ม องค์คณะฯ เห็นว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายอ้างพยานบุคคลหลายปาก และพยานเอกสารมีจำนวนมาก ดังนั้น จึงให้คู่ความทั่งสองฝ่ายร่วมกันตรวจพยานหลักฐานต่อไปทุกวันพุธเวลา 9.00 น.จนกว่าจะแล้วเสร็จ โดยศาลนัดพร้อมคู่ความเพื่อฟังคำสั่งเกี่ยวกับการตรวจพยานหลักฐาน และการกำหนดวันเพื่อไต่สวนพยาน ในวันที่ 29 ต.ค.นี้ เวลา 9.30 น.
น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนเข้าห้องพิจารณาด้วยสีหน้าสดใสว่า มั่นใจในพยานหลักฐานที่จะนำเสนอศาลว่าศาลจะรับฟัง โดยคดีนี้ตนมีพยานบุคคลซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความสามารถกว่า 70 ปาก เชื่อว่าไม่มาเกินไปและพยานจะสามารถให้ข้อมูลกับศาลได้ ทั้งนี้ พยานดังกล่าวที่เตรียมไว้ก็มีทั้งกลุ่มที่เคยให้การไว้ในสำนวน ป.ป.ช.- และกลุ่มพยานที่เราเคยเสนอ ให้ ป.ป.ช.ไต่สวนแล้วแต่ ป.ป.ช.ตัดไป ไม่นำมาไต่สวน โดยพร้อมต่อสู้ทุกคดีและจะมาตามที่ศาลนัดทุกคดี
ขณะที่ภายหลังการตรวจพยานหลักฐาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกฯ กล่าวว่า จะเหลือเวลาอีก 2 เดือน ขณะที่ฝ่ายอัยการมีพยานเอกสารกว่า 60,000 แผ่นและพยานบุคคลที่เพิ่มเติมอีก 23 ปาก ดังนั้นเวลาอาจไม่เพียงพอต่อการตรวจดูเอกสารทั้งหมด ซึ่งยอมรับว่าเป็นพยานเอกสารที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จึงถือเป็นการบ้านที่ทนายความต้องทำงานหนักก่อนจะถึงนัดตรวจหลักฐานอีกครั้งในวันที่ 29 ต.ค.นี้
ส่วนนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ยอมรับว่าหนักใจ เพราะไม่ได้เห็นเอกสารที่อัยการนำมาเพิ่มเป็นพยาน แต่ก็จะตรวจพยานอย่างละเอียด โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะต้องเดินทางมาศาลมาอีกครั้งในวันที่ 29 ต.ค.นี้
ขณะที่นายเอนก คำชุ่ม ทีมทนายความ ระบุว่า คดีนี้ตามบัญชีพยานที่เรายื่นมีพยานบุคคล 71 ปาก ส่วนพยานเอกสารมีจำนวนกว่า 100 แฟ้ม แต่ในเบื้องต้นเราได้เสนอพยานเอกสารไว้ 61 แฟ้ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในบริเวณศาลฎีกาฯ ตั้งแต่ช่วงเช้า เจ้าหน้าที่ได้นำรั้วเหล็กมากั้นเป็นทางเดิน เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคู่ความ เนื่องจากมีประชาชนมารอให้กำลังใจและมอบดอกไม้ให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ จำนวนมาก มีการตะโกนให้กำลังใจ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องเครื่องแบบและเจ้าหน้าที่รปภ.ของศาลดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย