รายงานอาชญากรรม
“ตราบใดที่ผมยังมีลมหายใจ ยังมั่นใจว่าจะจับกุมคนร้ายได้ แม้หลังจากนี้จะเกษียณอายุราชการไปแล้วก็ตาม”... วาทะครบรอบ 1 สัปดาห์วันแห่งฝันร้ายของคนไทยและชาวโลก เมื่อได้ฟังวาทะผู้นำสีกากีประเทศไทย กลับเป็นความจริงที่หัวเราะไม่ออก ร้องให้ไม่ได้จริงๆ
เมื่อเวลา 18.55 น.ของวันจันทร์ที่ 24 ส.ค. 2558 ก็ครบ 1 สัปดาห์พอดีกับการก่อวินาศกรรมถล่มราชประสงค์ ครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย พิษสงของแรงระเบิดแสวงเครื่องทีเอ็นที่ขนาด 3 ปอนด์ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และคนไทยเสียชีวิต 20 รายบาดเจ็บอีกกว่า 100 คน
แต่จนบัดนี้ดูเหมือนว่าการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ซึ่งทุ่มสรรพกำลังทั้งหมดอันประกอบด้วยหน่วยข่าวกรอง ฝ่ายความมั่นคงหรือแม้แต่การระดมกำลังปูพรม “สแกน”พื้นที่กรุงเทพมหานคร 88 โรงพักของ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพรหมณกุล ผบช.น. และปฏิบัติการ “ปิดเมือง ค้นรังโจร” โดยคำสั่งของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ผลที่สะท้อนกลับมาคือไม่พบสิ่งเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่ศาลพระพรหม แม้แต่น้อย นอกจากการจับกุมผู้ทำผิดกฏหมายคดีเล็กๆ น้อยๆ เช่น ตรวจยึดปืนพกได้ 4 กระบอก เป็นปืนลูกซองสั้น 1 กระบอก ส่วนที่เหลือมียาไอซ์จำนวน 10.75 กรัม กัญชา ใบกระท่อม กระทั่งจุดเป้าหมายคือแหล่งที่พักราคาถูกของชาวต่างชาติทั้งย่านถนนข้าวสาร สาทร หัวลำโพงและอื่นๆ กลับไม่พบเบาะแสหรือร่องรอยอะไรเลย จึงทำได้เพียงฝากรูปสเกตช์เพื่อให้เกสต์เฮาส์ หรือแหล่งที่พักนักท่องเที่ยวช่วยสอดส่องเป็นหูเป็นตาให้
ท่ามกลางความอึมครึมไม่มีอะไรชัดเจน “ทีมข่าวอาชญากรรม ASTV ผู้จัดการ ได้รวบรวมคำสัมภาษณ์ของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ตลอดในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยส่อว่าอาจจะคว้าน้ำเหลวในการติดตามตัวชายเสื้อยืดสีเหลือง ผู้ต้องสงสัยที่ปรากฏภาพในกล้องวงจรปิดทุกขั้นตอน นับตั้งแต่เดินสะพายกระเป๋าเป้วนเวียนอยู่ในศาลพระพรหม วางระเบิดและเส้นทางการหลบหนี
หลังเกิดระเบิดได้ไม่นาน ผบ.ตร.ออกมาระบุว่าระเบิดที่คนร้ายใช้เป็นชนิดแสวงเครื่อง TNT น้ำหนัก 3 กก.มีรัศมีทำลายล้าง 100-150 เมตรส่วนสาเหตุนั้นตั้งข้อสมมุติฐานหลายเรื่อง เริ่มจากความขัดแย้งทางการเมือง กลุ่มภาคใต้ กลุ่มผู้มีประสิทธิภาพที่เคยก่อเหตุสยามพารากอน และศาลอาญา และตลอดทั้งคืนเจ้าหน้าที่ระดมตรวจหาเศษวัสดุต่างๆ ที่เป็นชิ้นส่วนระเบิด ทั้งโลหะ ลูกบอลแบริ่ง ที่คนร้ายใช้เป็นสะเก็ดเพิ่มอาณุภาพทำลายล้าง ซากกระเป๋าเป้ รวมทั้งชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์ ที่กระจัดกระจายเกลื่อนรวมน้ำหนักได้กว่า 20 กก.
เช้าวันใหม่สื่อต่างๆ รายงานเหตุการณ์อย่างละเอียดยิบ ท่าทีของโลกต่างประณามการกระทำและให้กำลังใจคนไทย รัฐบาลไทยเพื่อก้าวพ้นวันแห่งความเลวร้ายไปให้ได้ ขณะที่คนไทยทั้งในและต่างประเทศใช้ความเศร้าสลดใจกลับมาสร้างกำลังใจให้กัน เว็บเพจจำนวนไม่น้อยแชร์ข้อความส่งกำลังใจให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ บางเว็บออกแนวนักสืบไซเบอร์ตั้งข้อสังเกตทั้งเสื้อผ้า ลักษณะลงมือก่อเหตุจนเป็นที่มาของการแจ้งเบาะแส “เสื้อยืดสีเหลืองสกรีนคำว่ากุชชี่” ชายเสื้อแดง เสื้อขาวก่อนตำรวจจะนำมาตั้งประเด็นตาม นอกจากบรรยากาศดังกล่าวแล้วตำรวจได้ประสานกับ กทม.ให้เข้าทำความสะอาดรีบคืนพื้นที่เพื่อให้บรรยากาศกลับสู่ปกติโดยเร็วจนนำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์
แต่ที่กลับมาช็อกคนไทยอีกครั้งคือระเบิดลูกที่ 2 ในช่วงบ่ายบริเวณท่าน้ำสาทร
วันที่ 19 ส.ค.ตำรวจออกภาพสเก็ตซ์ชายเสื้อเหลือง ลักษณะคล้ายฝรั่งและแขกขาว อายุ 25-30 ปีรูปร่างผอมสูง ตั้งรางวัลนำจับ 1 ล้านบาท พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร.ให้สัมภาษณ์สื่อทิ้งน้ำหนักไปยังขบวนการในประเทศเพื่อดิสเครดิตรัฐบาล และมุ่งหวังทำลายเศรษฐกิจ พร้อมย้ำว่าส่วนตัวยังเชื่อว่าไม่ใช่เป็นการก่อการร้าย วันที่ 20-21 ส.ค. ผบ.ตร.ยังถูกผู้สื่อข่าวรุมล้อมถามความคืบหน้าตลอดแต่ไม่มีอะไร “คืบหน้า” ในส่วนของตำรวจแม้แต่น้อยแม้การระบุถึงขบวนการระเบิดว่ามาจากฝ่ายไหน
แต่ที่ “งง” ก็คือ สำนักข่าวต่างประเทศ “เดอะไทม์ ออฟลอนดอน” ระบุชื่อนายโมฮัมหมัด มูเซยิน หนึ่งในขบวนการก่อการร้ายข้ามชาติ เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับระเบิดราชประสงค์ ต่อมาถูกปฏิเสธโดย ผบ.ตร.พร้อมยืนยันอีกว่ายังไม่ปักใจเชื่อว่ามือระเบิดเป็นชาวต่างชาติ เชื่อว่าการลงมือครั้งนี้ทำเป็นขบวนการมีไม่ต่ำกว่า 10 คน พร้อมเพิ่มค่านำจับจาก 1 ล้านเป็น 2 ล้านบาท
คำสัมภาษณ์ของ พล.ต.อ.สมยศ กลายเป็นความสับสนให้แก่สังคมไทยขึ่นเรื่อยๆแต่ในวงการสื่อทุกสำนักเริ่มมองในทางเดียวกันว่าฝ่ายความมั่นคงตำรวจ ทหาร เริ่มมีปัญหาในการคลี่คลายคดีแล้ว เพราะเวลา 4 วันหลังเกิดเหตุตำรวจเองกลับเป็นผู้จับต้นชนปลายไม่ถูก แม้แต่การระบุถึงผู้อยู่เบื้องหลังซึ่งในวันแรกหลังสิ้นเสียงระเบิดไม่ถึงชั่วโมง ท่าทีของรัฐบาลผ่านมายังถ้อยแถลงของ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้ไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่หลบหนีคดีอยู่ต่างประเทศ แต่ฝ่ายตำรวจ และหน่วยข่าวกรองรวมถึงฝ่ายความมั่นคงก็ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ในมือที่จะสาวไปถึง หรือพอให้สังคมไทยพอเชื่อว่าอดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 มีส่วนรู้เห็นต่อการก่อวินาศกรรมครั้งนี้จริง
และที่ตอกย้ำความเชื่อของชาวโลกก็คือ คลิปภาพชาวต่างชาติเสื้อยืดเหลือง ที่ออกมายืนยันได้เป็นอย่างดีว่ามือระเบิดไม่ใช่คนไทย แม้ต่อมาจะมีทฤษฎีใหม่ว่าถึงมือระเบิดเป็นแขกขาว แต่มิได้หมายความว่า “ทักษิณ” จะไม่เกี่ยวข้อง กลายเป็นข้อถกเถียงและยังหาข้อสรุปที่ไม่สมเหตุสมผลนี้ได้จนมาถึงระเบิดลูก 2 ที่ท่าน้ำสาทร มีภาพวงจรปิดเห็นคนร้ายลักษณะเป็นชาวเอเชียสวมเสื้อสีฟ้า แต่วิธีการวางระเบิดโดยใช้เท้าเขี่ยกระเป๋าลงไปในน้ำตั้งแต่คืนที่ 17 ส.ค.เวลา 19.30 น.หลังเกิดเหตุราชประสงค์เพียงครึ่งชั่วโมง มีความเชื่อมโยงกับระเบิดลูกแรกอย่างไร นอกจากลักษณะของระเบิดที่สอดคล้องกันแต่แผนประทุษกรรมกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
เนื่องจากการถีบกระเป๋าระเบิดลงน้ำและให้ทำงานตอนบ่ายวันต่อมา ขบวนการระเบิดใต้น้ำลูกนี้หวังผลอะไรกันแน่ ถ้าเป็นคนร้ายชุดเดียวกันทำไมไม่หวังชีวิตผู้คนจนสังคมออนไลน์ส่งข้อความประชดว่าแรงระเบิดท่าเรือสาทร กรมเจ้าท่ารายงานว่ามีเสียชีวิต คือ 1. ปลาตะเพียน 4 ตัว 2. ปลาบู่ 6 ตัว 3. ปลาช่อน 8 ตัว 4. ปลาชะโด 11 ตัว 5. ปลาดุก 9 ตัว 6. กุ้ง 30 ตัว 7. หอย 40 ตัว 8. ไอ้เข้ 1 ตัว ไอ้เห้หนีทัน... และคลิปภาพชายเสื้อฟ้าที่ระบุเป็นชาวเอเชีย อาจจะมีนัยโยงไปถึงขบวนการสีเสื้อที่ฝ่ายรัฐฟันธงไว้แต่วันแรกหรือไม่
วันที่ 22 ส.ค. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่าขณะนี้ได้ประสานไปยังตำรวจสากล 190 ประเทศเพื่อช่วยติดตามชายเสื้อยืดสีเหลือง ตามหมายจับแล้วและนำตัวพยานปากสำคัญ จักรยานยนต์รับจ้างกับสามล้อตุ๊กตุ๊กมาสอบปากคำแล้วเช่นกัน ทำให้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับตัวคนร้ายมากยิ่งขึ้น ส่วน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.แบะท่าอ้างว่าการที่ตำรวจทำงานล่าช้า ก็เพราะขาดเครื่องมือทันสมัย พร้อมเตรียมของบประมาณ 1 พันล้านจัดซื้อเครื่อง ไบโอแมทริกซ์ ซึ่งเป็นเครื่องมือทันสมัยใช้สำหรับตรวจการแสดงตนบุคคล มีใช้ในสนามบินนานาชาติทันสมัยทั่วไปแต่ไม่มีติดตั้งในประเทศไทย เครื่องมือดังกล่าวสามารถตรวจสอบลายนิ้วมือ ฝ่ามือ เสียง ม่านตา ใบหน้า ดีเอ็นเอ
วันที่ 23 ส.ค. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.เปิดปฏิบัติการระดมกำลังตำรวจทั้งหมดกว่า 2 หมื่นนายภายใต้ชื่อ “ปิดเมือง ค้นรังโจร” แต่ไม่ได้ผลคุ้มค่า นอกจากจับกัญชา ใบกระท่อมเล็กๆน้อยๆ นับเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตน ส่ออาการให้เห็นว่าตำรวจไทยกำลังจะหมดท่าจริงๆถึงกับตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์ ผบ.ตร.หลุดปากว่าการจะจับคนร้ายได้หรือไม่นั้น “คงต้องอาศัยโชค ถ้าตำรวจดวงแข็งก็อาจจะจับได้”
วันจันทร์ที่ 24 ส.ค.ครบ 1 สัปดาห์เต็มแต่ความคืบหน้านำไปสู่มือระเบิดหรือขบวนการยังคงไม่มีความชัดเจน ผบ.ตร.ประเดิมการทำงานด้วยวาทะร้อน ให้สัมภาษณ์ประณามสื่อมวลชนต่างชาติแต่ยังคงยืนกรานไม่ฟันธงถึงปมขัดแย้งต่างๆทั้งการเมือง ความขัดแย้งส่วนตัว ขัดแย้งทางธุรกิจ การไม่ชอบคนชาติใดชาติหนึ่ง หรือลัทธิความเชื่อทางศาสนา....” ตราบใดที่ผมยังมีลมหายใจ ยังมั่นใจว่าจะจับกุมคนร้ายได้ แม้หลังจากนี้จะเกษียณอายุราชการไปแล้วก็ตาม”....วาทะครบรอบ 1 สัปดาห์วันแห่งฝันร้ายของคนไทยและชาวโลก
เมื่อได้ฟังวาทะผู้นำสีกากีประเทศไทย กลับเป็นความจริงที่หัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้จริงๆ