xs
xsm
sm
md
lg

ศาลฎีกายกฟ้องคู่หูคดียิง “ระวีวรรณ” เหยื่อศัลยกรรม ปี 50 (ชมคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายเจษฎา วิวัฒนานุกูล บุตรชายของนางระวีวรรณ เสตะรัต เหยื่อศัลยกรรมให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลยกฟ้อง
ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องคู่หูคดียิงนางระวีวรรณ เหยื่อศัลยกรรมเสียชีวิต เมื่อปี 50 ชี้พยานหลักฐานยังมีข้อสงสัย จึงยกประโยชน์ให้จำเลย ขณะที่ลูกชายบอกสู้เพื่อแม่มานาน 8 ปี ทำดีที่สุดแล้ว



ที่ห้องพิจารณา 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (17 ส.ค.) ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.4514/2550 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 และนายเจษฎา วิวัฒนานุกูล บุตรชายของนางระวีวรรณ เสตะรัต หรืออภัสนันท์ ธิติโชติชัยปรีชา ผู้ตาย ผู้เสียหายจากการศัลยกรรมใบหน้าจากสถาบันเสริมความงามแห่งหนึ่งย่านดอนเมือง ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายจตุรงค์ หรือตึ๋ง เบญกุล อายุ 29 ปี ชาวชลบุรี และนายประกอบ สีนาค อายุ 36 ปี ชาวอุทัยธานี เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

คดีนี้โจทก์ฟ้องบรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2550 เวลาประมาณ 20.30 น. จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันใช้อาวุธปืนขนาด .25 (6.35 มม.) ไม่มีทะเบียน ยิงนางระวีวรรณเสียชีวิต หน้าบ้านพักเลขที่ 295 หมู่บ้านฉัตรแก้ว ซ.11 ถ.แฮปปี้แลนด์ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม. ภายหลังก่อเหตุจำเลยกับพวกขี่จักรยานยนต์หลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลาดพร้าว และกองปราบปราม จับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมอาวุธปืนและจักรยานยนต์ของกลาง โดยจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน แต่ให้การปฎิเสธในชั้นพิจารณาของศาล

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาวันที่ 19 ม.ค. 2553 ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสอง เนื่องจากในชั้นพิจารณาจำเลยให้การว่าไม่สมัครใจรับสารภาพ แต่ให้การเพราะเกรงว่าจะถูกทำร้าย ศาลเห็นว่าโจทก์ต้องมีพยานหลักฐานอื่นมาประกอบอีกจึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสอง แต่ศาลก็ให้ขังจำเลยทั้งสองไว้ในระหว่างอุทธรณ์ก่อน ต่อมาเมื่ออัยการโจทก์ และบุตรชายผู้ตาย โจทก์ร่วมได้ยื่นอุทธรณ์คดี ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 56 แก้เป็นว่า ให้จำคุกตลอดชีวิต นายจตุรงค์ หรือตึ๋ง จำเลยที่ 1 เนื่องจากศาลเห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น ซึ่งมีบุตรชายที่เป็นโจทก์ร่วมเป็นประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์ และยังมีการนำชี้จุดที่เหตุ ส่วนนายประกอบ จำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกฟ้อง เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่เพียงพอ ไม่มีประจักษ์พยาน

ต่อมาโจทก์-โจทก์ร่วม และจำเลยที่ 1 ยื่นฎีกา โดยจำเลยทั้งสองถูกขังอยู่ในเรือนจำฯ ตลอดเวลาพิจารณาคดีจนถึงการฎีกา วันนี้ศาลเบิกตัวจำเลยทั้งสองมาจากเรือนจำเพื่อฟังคำพิพากษา ขณะที่นายเจษฎา วิวัฒนานุกูล บุตรชายของนางระวีวรรณก็ได้เดินทางมาเพียงลำพังเพื่อร่วมฟังคำพิพากษาด้วย

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า นายจตุรงค์ จำเลยที่ 1 กระทำผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ ศาลเห็นว่า แม้โจทก์มีนายเจษฎา บุตรชายของผู้ตาย โจทก์ร่วม เป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า ตามวัน-เวลาเกิดเหตุ เมื่อโจทก์ร่วมและมารดาผู้ตายขับรถมาถึงหน้าบ้าน โจทก์ร่วมและพี่สาวก็ช่วยกันขนของเข้าบ้าน จากนั้นมารดาได้ขับรถไปจอดที่ข้างบ้าน ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืนประมาณ 4-5 นัด และเสียงมารดาร้อง เมื่อโจทก์ร่วมออกมาหน้าบ้านเห็นจำเลยที่ 1 เล็งปืนที่มารดา และใช้อีกมือปัดมือของมารดาเพื่อจะได้ยิงถนัด โจทก์ร่วมจึงขว้างโทรศัพท์มือถือใส่จำเลยที่ 1 แล้วจึงหลบหนีไป โดยโจทก์ร่วมยืนห่างจากจุดจำเลยที่ 1 ยิงมารดาประมาณ 7 เมตร และมีแสงสว่างเพียงพอจากไฟในบ้านและไฟรั้วบ้านที่มองเห็นจำเลยที่ 1 ได้ซึ่งวันเกิดเหตุเห็นใส่เสื้อยืดสีเขียว และกางเกงยีนส์ขายาว สูงประมาณ 170 เซนติเมตร สีผิวค่อนข้างคล้ำ

แต่ชั้นสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โจทก์ร่วมกลับไม่ได้ระบุรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ แต่โจทก์ร่วมเพิ่งมาให้การภายหลัง ดังนั้นคำให้การของโจทก์ร่วมจึงขาดความเชื่อมโยง ส่วนพยานที่อยู่บริเวณใกล้เคียงบ้านผู้ตายที่เบิกความว่าขณะเกิดเหตุซักผ้าอยู่ที่หน้าบ้านได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง จากนั้นก็เห็นชายใส่เสื้อยืดสีเขียว กางเกงยีนส์ขายาว แต่เมื่อจะให้ชี้ตัวพยานก็ไม่แน่ใจว่าจะใช่คนเดียวกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจที่เบิกความว่าขณะตรวจตราที่บริเวณป้อม รปภ.หมู่บ้าน ช่วงใกล้เคียงเวลาเกิดเหตุ เห็นชาย 2 คนขี่จักรยานยนต์ออกมา โดยเห็นจำเลยที่ 1 นั่งซ้อนท้ายนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้ระบุรูปพรรณสัณฐานลักษณะหู ตา จมูก ปาก ใช้ชัดเจนเพื่อสเกตช์ภาพคนร้าย แต่พยานให้การหลังจำเลยถูกจับกุม พยานโจทก์จึงยังน่าสงสัย ขณะที่พยานโจทก์ซึ่งอ้างว่า ให้การถึงจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงมือยิง และจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขี่รจักรยานยนต์โดยมีการบันทึกคำให้การลงดีวีดีไว้นั้น โจทก์ก็ไม่ได้นำพยานคนดังกล่าวมาเบิกความในชั้นศาล อีกทั้งที่โจทก์ร่วมเบิกความว่า หลังจากถูกจับกุมจำเลยที่ 1 กับโจทก์ร่วมและพี่สาวว่าเป็นผู้ก่อเหตุและหากพ้นโทษจะมารับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น โจทก์ร่วมก็เพิ่งมาให้การชั้นศาล ไม่ได้บอกกล่าวชั้นพนักงานสอบสวนตั้งแต่ต้น อีกทั้งจำเลยทั้งสองก็ต่อสู้ว่าไม่ได้สมัครใจให้การ แต่ถูกบังคับข่มขู่ และแม้ว่าจำเลยจะให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน แต่ภายหลังเมื่อจำเลยมีทนายความก็ให้การปฏิเสธ และจำเลยก็ได้ยื่นร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายส่วนด้วย รวมทั้งเรื่องชิ้นส่วนอาวุธปืนที่พยานโจทก์ระบุว่าทั้งหมดจมอยู่ใต้น้ำ แต่เมื่อมีการพิสูจน์ การถอดชิ้นส่วนแล้วนำประกบด้ามปืนมาวางในกะละมังใส่น้ำปรากฏว่าด้ามปืนดังกล่าวลอยน้ำ พยานหลักฐานที่อัยการโจทก์ และโจทก์ร่วมนำสืบยังมีข้อน่าสงสัยหลายประการ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสอง

ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกตลอดชีวิตนายจตุรงค์ จำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องนายจตุรงค์ จำเลยที่ 1 ส่วนนายประกอบ จำเลยที่ 2 ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายกฟ้อง

ทั้งนี้ นายจตุรงค์ และนายประกอบ จำเลยทั้งสองซึ่งอยู่ในชุดนักโทษพร้อมโซ่ตรวนจะได้รับการปล่อยตัวต่อไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ให้ยกฟ้อง

ด้านนายเจษฎา วิวัฒนานุกูล บุตรชายนางระวีวรรณกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาออกมาเช่นนี้ก็ต้องเคารพ ส่วนตัวก็อยากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นกรณีศึกษาสำหรับสังคมไทย สำหรับเหตุการณ์ที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิต สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ตนในฐานะลูกก็ทำดีที่สุดเพื่อแม่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความหวังที่จะรื้อฟื้นคดีใหม่อีกหรือไม่ นายเจษฎากล่าวว่า ต้องปรึกษาครอบครัวอีกครั้ง เพราะคดีตอนนี้ก็ไม่มีอะไร ไม่รู้ว่าถ้าจะรื้อฟื้นจะมีอะไรหรือไม่

“ถามว่าเหนื่อยมั้ย เราก็เหนื่อยเพราะสู้มาตั้งแต่ผมอายุ 20 ปี ตอนนี้เวลาผ่านมา 8 ปีแล้ว แต่ชีวิตแม่ เราก็ต้องลุยเมื่อมาได้แค่นี้ก็แค่นี้ ผมก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง” นายเจษฎากล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น