xs
xsm
sm
md
lg

ศาลอุทธรณ์ไม่ให้รื้อฟื้นใหม่ คดีเจ้าของร้านทองค้าเฮโรอีน 35 กก.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

 นายสุชาติ ใจสุด  เจ้าของร้านทอง ถูกศาลพิพากษาคดีค้าเฮโรอีน (แฟ้มภาพ)
ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องไม่ให้รื้อฟื้นคดีใหม่ คดี “สุชาติ ใจสุด” เจ้าของร้านทอง เมืองสุราษฎร์ธานี” นักโทษคดีค้าเฮโรอีน 35 กก.ขอรื้อคดีใหม่ ชี้พยานบุคคลที่กล่าวอ้างสามารถนำมาสืบพยานได้ตั้งแต่ชั้นพิจารณาคดี ขณะเดียวกัน ศาลฎีกามีคำสั่งให้ริบทรัพย์ที่เชื่อว่าได้มาจากการกระทำผิด 68 ล้านเข้ากองทุนปราบปรามยาเสพติด

ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (17 มิ.ย.) ศาลนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ การร้องขอรื้อฟื้นคดีหมายเลขดำ อฟ. 1/2556 ที่นายสุชาติ ใจสุด เจ้าของร้านทอง จ.สุราษฎร์ธานี นักโทษตามคำพิพากษาฎีกาจำคุกตลอดชีวิต คดีร่วมกับพวกกระทำผิดเกี่ยวกับเฮโรอีน ได้ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2556 ขอให้ศาลรื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาพิพากษาใหม่ ตาม พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ 2526 เนื่องจากอ้างว่ามีพยานหลักฐานใหม่ ประกอบด้วย พยานบุคคลซึ่งเป็นอดีตรองผู้ว่าฯ สุราษฎร์ธานี และจำเลยร่วมคดียาเสพติด ประกอบกับผลการสอบสวนของพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ

โดยศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานทั้งหมดที่นายสุชาติอ้างนั้นไม่เป็นพยานหลักฐานที่ชัดแจ้งและสำคัญตาม พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ 2526 มาตรา 5 (3) จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ นายสุชาติจึงยื่นอุทธรณ์

ขณะที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คำร้องของนายสุชาติ ผู้ร้อง มีมูลเพียงพอที่จะรื้อฟื้นคดีใหม่หรือไม่ เห็นว่าบุคคลต้องรับโทษอาญาโดยคำพิพากษาถึงที่สุดจึงมีสิทธิขอรื้อฟื้นขึ้นพิจารณาคดีใหม่หากภายหลังได้ปรากฏหลักฐานขึ้นใหม่ว่าบุคคลนั้นไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด ภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไข พ.ร.บ.การรื้อฟื้นฯ

เมื่อคำร้องขอรื้อฟื้นคดีของนายสุชาติ ผู้ร้อง อ้างว่ามีพยานหลักฐานใหม่ ได้แก่ นายพิทยา สุนทรวิภาต อดีตรองผู้ว่าฯ สุราษฎร์ธานี รู้เห็นว่านายสุชาติ ผู้ร้องและภรรยาของนายสุชาติไม่ได้มีชื่อในบัญชีผู้เกี่ยวกับยาเสพติดจังหวัดสุราษฎร์ธานี และนายโสภณ หรืออุตรเดช สุขถาวร หรือมีสุข จำเลยที่ 1 คดียาเสพติด ซึ่งให้การซัดทอดนายสุชาติ ผู้ร้องว่าเคยมีสาเหตุโกรธแค้นกัน และนายเดโช เพ็งทอง จำเลยที่ 2 คดียาเสพติด ที่รู้เห็นว่านายสุชาติ ผู้ร้องไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของนายโสภณจำเลยที่ 1

โดยศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานดังกล่าวแล้วเห็นว่า พยานดังกล่าวมีตัวตนอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีและอยู่ในวิสัยที่สามารถนำมาเป็นพยานหลักฐานหักล้างอัยการโจทก์ได้ ส่วนนายโสภณจำเลยที่ 1 และนายเดโชจำเลยที่ 2 คดียาเสพติดนั้นก็ได้เบิกความเป็นพยานในคดียาเสพติดแล้วจึงไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ ส่วนคำให้การซักทอดของนายโสภณ จำเลยที่ 1 ศาลฎีกาเคยได้วินิจฉัยไว้แล้วในคดียาเสพติดว่า ยากที่จำเลยที่ 1 จะแต่งเรื่องเพื่อปรักปรำนายสุชาติ ผู้ร้อง หรือเพื่อให้บุตรสาวของจำเลยที่ 1ซึ่งถูกจับกุมด้วยพ้นจากการถูกกล่าวหา เมื่อกรณีตามคำร้องไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่จะขอให้รื้อฟื้นคดีใหม่ ตาม พ.ร.บ.การรื้อฟื้นฯ มาตรา 5 จึงไม่มีมูลเพียงพอ ศาลอุทธรณ์จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

ขณะเดียวกัน ที่ห้องพิจารณา 807 ศาลอาญาได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาเกี่ยวกับมาตรการริบทรัพย์ผู้กระทำผิดเกี่ยวกับคดีที่ยาเสพติด หมายเลขดำ ม.256/2548 ที่พนักงานอัยการฝ่ายยาเสพติด 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายโสภณ สุขถาวร, นายเดโช เพ็งทอง , นางวนิดา เพ็งทอง และนายสุชาติ ใจสุด เป็นจำเลยที่ 1-4 เพื่อขอริบทรัพย์ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตาม พ.ร.บ.มาตราในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 จากกรณีที่จำเลยทั้ง 4 ถูกยื่นฟ้อง คดีร่วมกันมีเฮโรอีน ยาเสพติดประเภท 1 จำนวน 100 แท่ง ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และคดีถึงที่สุดเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ประหารชีวิต
โดยศาลฎีกา พิเคราะห์แล้วเห็นว่าทรัพย์สินทั้ง 32 รายการ เช่น เงินสดที่ได้จากการไถ่ถอนการจำนำทองรูปพรรณ เงินฝากพร้อมดอกเบี้ยในธนาคารพาณิชย์ต่างๆ สิทธิกองทุนเปิดรวงข้าวของธนาคารกสิกรไทยฯ โฉนดที่ดินและ น.ส.3 ก.ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และกรรมสิทธิ์ห้องชุดย่านลาดพร้าว และทรัพย์สินอื่นที่นายสุชาติ ใจสุด และนางนิรมล ใจสุด ภรรยา ยื่นคัดค้าน โดยอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริง โดยประกอบอาชีพสุจริต มิได้มาจากการกระทำความผิดยาเสพติดนั้น
เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนให้ลงโทษประหารชีวิตนายสุชาติ ฐานสมคบกันมียาเสพติดประเภทเฮโรอีน จำนวน 100 แท่ง หนัก 35 กิโลกรัมเศษ ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ย่อมถือได้ว่านายสุชาติเป็นผู้เกี่ยวข้องกับกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ส่วนนางนิรมล ภรรยาของนายสุชาติ แม้ไม่ถูกดำเนินคดี แต่นางนิรมล ไม่ได้นำสืบพิสูจน์หักล้างหรือมีพยานหลักฐานมาสนับสนุนว่าทรัพย์สินได้มาโดยสุจริต ดังนั้น ทรัพย์สินของนายสุชาติย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานของบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่า บรรดาเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาเกินฐานะหรือความสามารถในการประกอบอาชีพหรือกิจกรรมอื่น ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ริบทรัพย์ของนายสุชาติและนางนิรมลให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดนั้นชอบแล้ว ฎีกาของทั้งสองฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

ด้านนางนิรมล ภรรยาของนายสุชาติซึ่งเดินทางมาฟังคำสั่งศาล กล่าวทั้งน้ำตาว่า ตนและครอบครัวไม่เหลืออะไรเลย ก็จะสร้างกันใหม่อีกครั้ง มั่นใจในความเป็นนักสู้ของตนและลูกๆ พร้อมทั้งเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม คิดว่าทรัพย์สินซึ่งหามาได้แล้วถูกยึดไปเป็นการชดใช้หนี้สินให้แผ่นดิน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับทรัพย์สินที่มีการร้องขอให้ริบทรัพย์นั้นมีมูลค่าประมาณ 68 ล้านบาท ซึ่งนายสุชาตินั้นตกเป็นจำเลยที่ 4 คดีหมายเลขดำ ย.6836/2546 ที่อัยการยื่นฟ้องร่วมกับนายโสภณ สุขถาวร กับพวกรวม โดยศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2547 ให้ประหารชีวิต ต่อมาศาลฎีกาก็มีคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2553 ให้ประหารชีวิต แต่ระหว่างรับโทษตามคำพิพากษานั้น นายสุชาติ จำเลยได้รับอภัยโทษเหลือโทษจำคุกตลอดชีวิต โดยปัจจุบันนายสุชาติถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำเขาบิน จ.ราชบุรี
กำลังโหลดความคิดเห็น