เตือน “ลุงตู่” อย่าไว้ใจลูกน้องกรณีสินค้าละเมิด และปลอมเครื่องหมายการค้า ขายเกลื่อนเย้ยกฎหมายย่านพัฒน์พงศ์-ถนนสีลม ตำรวจแค่ “ปราบจัดฉาก” เผยเส้นทางส่วยตั้งแต่ระดับโรงพักยันเบื้องบน กินคำโตสมาคมใต้ดินคนจีน “แก๊งเสือป่า” ตัวเอ้ค้าของเถื่อน ไม่รีบกำจัดจุดอ่อนทั้งสหรัฐฯ และอียู กีดกันการค้าไทยหนักขึ้นแน่
หลังจาก “ทีมข่าวอาชญากรรม ASTV ผู้จัดการ” ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งขายสินค้าเถื่อนระดับใหญ่กลางกรุงซึ่งมีที่ตั้งอยู่ถนนพัฒน์พงศ์ และริมถนนสีลม ท้องที่รับผิดชอบ สน.บางรัก โดยขณะนี้ยังมีการวางขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์และปลอมเครื่องหมายการค้าสินค้าแบรนด์เนม ตลอดจน “เซ็กซ์ทอย” อย่างโจ๋งครึ่มไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย แม้ก่อนหน้า พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น.จะนำทัพออกมาแถลงผลงานจับกุมด้วยตนเองเมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา พร้อมของกลางประกอบด้วยกระเป๋า เข็มขัดยี่ห้อดัง เช่น หลุยส์ วิตตอง, โกยาด, พราด้า, บาลรี, กุชชี, แอร์เมส พร้อมผู้ต้องหาชายหญิงรวม 4 คน โดยยืนยันต่อสื่อมวลชนว่าตำรวจนครบาลไม่เคยละเลยปัญหาสินค้าปลอมแปลงเครื่องหมายการค้า และละเมิดลิขสิทธิ์ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่ถูกจับตามองจากต่างชาติเกี่ยวกับการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ในการจับกุมครั้งนี้วางแผนเข้าตรวจพร้อมกัน 15 จุด ของกลางประเภทปลอมเครื่องหมายการค้าและละเมิดลิขสิทธิ์รวมเกือบ 1 พันชิ้น มูลค่าประมาณ 5 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากท่าทีของตำรวจนครบาลที่ดูเหมือนว่าเอาจริงเอาจังต่อขบวนการค้าของเถื่อนย่านพัฒน์พงศ์ ดงโลกีย์ แต่หลังทีมงานลงพื้นที่ยังคงพบสินค้าชนิดเดียวกันเหมือนที่ตำรวจนำมาแถลงเพื่อเอาผลงานทุกประการ แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ ปรากฏว่ามีสินค้าราคาแพงชนิดอื่นๆ เช่น นาฬิกาหรู โดยเฉพาะยี่ห้อโรเล็กซ์ ตั้งแผงวางขายกันนับ 10 แผง ทุกแผงมีแค็ตตาล็อกให้ลูกค้าเลือกแบบ-รุ่นตามใจชอบ ขัดแย้งกับท่าที พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น.ในฐานะผู้นำหน่วยซึ่งก่อนหน้าออกอาการขึงขังจริงจัง
สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นไปได้ว่า มีการ “จัดฉาก” เพื่อแก้ผ้าเอาหน้ารอดเป็นครั้งคราว โดยตำรวจบางนายมีจุดประสงค์เพื่อสร้างผลงาน และเป็นภูมิคุ้มกันหากถูกตรวจสอบก็จะอ้างว่ามีผลการจับกุมอย่างต่อเนื่องคล้ายกับวิธีการเก่าๆ โดยเฉพาะตำรวจท้องที่ผู้รับผิดชอบอันดับแรก “ลูกไม้เก่า-ข้อหารับส่วย” ก็คือให้ตกลงกับผู้ประกอบการสีเทาต่างๆ ทั้งบ่อน-ซ่อง-ค้าของเถื่อน หรือกระทั่งแก๊งเงินกู้ ให้ฝ่ายสืบสวนประจำสถานีจับเดือนละครั้ง หรือกว่านั้น ส่วนข้อหาจะแจ้งเบาๆ ถ้าเสียค่าปรับก็ปรับเพียงเล็กน้อย หากมีโทษจำตำรวจจะใช้ความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายช่วยเหลือทุกครั้งไป ดังนั้น สิ่งผิดกฎหมายทุกอย่าง ผลประโยชน์ทุกตารางนิ้ว ตำรวจท้องที่ต่างรู้เป็นอย่างดี ตำแหน่ง “ผู้กำกับสถานี” จึงเป็นเสือตัวแรกที่กินคำใหญ่ รองลงมาคือฝ่ายสืบสวน กับฝ่ายป้องกัน และฝ่ายสอบสวน
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นลูกไม้เก่าๆ แต่ส่วนใหญ่มักได้ผลเพราะในการโยกย้ายข้าราชการตำรวจในสังกัดนั้นก็ล้วนแต่ถูกเลือกมาโดยผู้บังคับบัญชาระดับสูงทั้งสิ้น จึงเป็นที่มาของประโยคอมตะที่ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ นายตำรวจตงฉินเคยกล่าวไว้ว่า สังคมตำรวจหาก “หัวไม่ส่าย หางก็ไม่กระดิก” เมื่อเป็นแบบนี้จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าลูกไม้เก่าๆ ที่ใช้ปกป้องตัวเอง หรือประหนึ่งจะเอาไว้แหกตาเจ้านาย แต่มีข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งว่าเป็นทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด มีการรับส่วยตั้งแต่ระดับล่างยันระดับบน
ตำรวจท้องที่ก็คือแหล่งต้นทางของ “ส่วย” หากท้องที่ไหนเข้มงวด “ขาว” ไปหมดไม่มีสีเทาหรือสีกระดำกระด่าง ตำรวจนอกหน่วยหรือตำรวจที่เกี่ยวข้องจากหน่วยอื่นๆ ก็ไม่สามารถเข้ามายุ่มย่ามหรือหาประโยชน์ได้เลย แต่ถ้ามีผลประโยชน์มีส่วยในรูปแบบต่างๆ ก็จะต้องสามารถประสานกับตำรวจนอกหน่วยให้ได้ เช่น กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่มีภารกิจเกี่ยวกับการกระทำความผิดต่างๆ ถึง 9 กองบังคับการ นอกจากนั้นยังมีสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง หรือ ตม. มีหน่วยเสริมจากกองบัญชาการต่างๆ ของตำรวจท้องที่ ทั้งกองบัญชาการตำรวจนครบาล หรือตำรวจภาค 1-9 ก็จะมีหน่วยสนับสนุน เช่น 191 สืบกองกำกับ สืบกองบังคับการ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี ในปัจจุบันอาจจะมีกองบัญชาการตำรวจสันติบาล และหน่วยเฉพาะกิจซึ่งล้วนมีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายทั้งสิ้น
สำหรับขบวนการค้าของเถื่อนย่านพัฒน์พงศ์นั้น เชื่อได้ว่ามีการส่วยส่งค่าคุ้มครองให้แก่ตำรวจบางหน่วยบางนายอย่างต่อเนื่องในรอบกว่า 20 ปี ท้องที่ สน.บางรัก จึงมักจัดไว้สำหรับนายตำรวจที่ผู้บังคับบัญชาทุกยุคทุกสมัยไว้ใจ “ทีมข่าวอาชญากรรม ASTV ผู้จัดการ” ได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวที่คลุกคลีอยู่กับวงการนี้ว่า การเก็บส่วยร้านขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และปลอมแปลงเครื่องหมายการค้าในย่านพัฒน์พงศ์ มีตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.บางรัก เป็นแกนหลัก ส่วนจะเป็นใครนั้นให้ดูความเก๋า ยิ่งอยู่มานานเคยเป็นหน้าเสื่อเจ้าประจำ พอเจ้านายคนใหม่ย้ายมาถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็จะใช้บริการจากหน้าเสื่อคนเก่าเพราะรู้พื้นที่ดี เก็บทั่วถึง
วิธีการเก็บจะมี “หัวเบี้ย” เป็นคนธรรมดามาช่วยอีกแรงหนึ่ง ประมาณ 5-6 คน คนพวกนี้มีส่วนแบ่งและมีผลประโยชน์ด้วย บางคนก็คือผู้ค้าในตลาดมีการเก็บทั้งรายวันและรายเดือนโดยจะส่งยอดแก่ผู้บังคับบัญชาบางคนในสถานี และแบ่งไปตามความรับผิดชอบ ประมาณว่าเฉพาะส่วยของเถื่อนจะมีเงินหมุนเวียนใน สน.บางรัก แต่ละเดือนหลาย 10 ล้านบาท เงินจำนวนนี้ยังไม่รวมกับตำรวจนอกหน่วย และเทศกิจ กทม.
มีรายงานด้วยว่า ปัจจุบันรูปแบบของขบวนการค้าของเถื่อนเริ่มเปลี่ยนไปตามสภาพสังคม และความสะดวกสบายในการเดินทาง สินค้าต่างๆ ที่นำมาวางขายนั้น 100 เปอร์เซ็นต์ทำมาจากประเทศจีน ดังนั้นจึงมีนายทุนชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่เข้ามาปักหลักทำมาหากินในประเทศไทยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว โดยแก๊งใหญ่สุดเป็นสมาคมใต้ดิน มีอิทธิพลทางการเงินเป็นที่เกรงอกเกรงใจของบรรดาคนมีสี ก็คือแก๊ง “เสือป่า” มีที่พักอาศัยอยู่ถนนเสือป่า ใก้ลกับโรงพยาบาลกลาง ลักษณะกิจการของแก๊งเสือป่านั้นจะเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าเถื่อนทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ นาฬิกาหรูราคาแพง และทุกสิ่งตามลูกค้าต้องการ
นอกจากจะเป็นตัวแทนจำหน่ายแล้วยังเปิดโอกาสให้ลงทุนร่วมคือให้เครดิตไปขาย ก่อนนำเงินมาชำระ หรือหากเป็นทำเลดีก็จะถือหุ้นด้วย อุปนิสัยของแก๊งเสือป่า คือเก็บตัวไม่ชอบมีเรื่อง แต่ถ้ามีปัญหาจะใช้เงินเข้าจัดการทันที จึงเป็นคุณสมบัติถูกใจผู้มีอำนาจ หรือคนมีสี (ไทย) บางคน แม้แต่การทวงหนี้หรือเคลียร์เจ้าหน้าที่บางหน่วยแก๊งเสือป่า จะมี “พี่ใหญ่” ซึ่งเป็นบุคคลมีสีอย่างน้อย 2 สียื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ปัจจุบันแผงค้าของเถื่อนที่ลงทุนเอง บินไปสินค้าเองและนำเข้าผ่านด่านศุลกากรสนามบินสุวรรณภูมิเองเริ่มถดถอยเพราะค่าใช้จ่ายสูง จึงหันมาใช้บริการจากแก๊งเสือป่าที่มีทั้งเครดิตและช่วยเคลียร์คนมีสีให้
ผลกระทบจากการปล่อยปละละเลย และไม่จริงใจต่อการปราบปรามสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและปลอมแปลงเครื่องหมายการค้านั้น สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติอย่างมากมายจนไม่อาจตีเป็นมูลค่าได้ เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันต่างชาติโดยเฉพาะสหรัฐฯ และอียู ต่างพากันตั้งกำแพงกีดกันการค้าอย่างรุนแรงทุกรูปแบบจนเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม เนื่องจากไม่สามารถส่งออกสินค่าได้ตามปกติ ขบวนการสินค้าเถื่อนที่มีตำรวจและผู้เกี่ยวข้องบางนายทั้งระดับล่างและระดับสูง ตามข้อมูลที่ทีมข่าวอาชญากรรม ASTV ผู้จัดการเสนอไปนั้น หากรัฐบาล หรือผู้บริหารประเทศยังไม่ให้ความสำคัญ หรือไม่ปฏิบัติการเชิงรุก ทำแค่รอนั่งฟังการรายงานของเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะตำรวจ ก็ขอให้เชื่อได้เลยว่าเป็นข้อมูลเชื่อได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกมากมายที่เลือกจะปิดบังไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด
เพราะขบวนการส่วยมันไหลลื่นซอกซอนไปทั้งระบบ จนอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะต้องเผชิญในวันข้างหน้า