การอพยพของชาติพันธุ์ “โรฮีนจา” จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมโด่งดังไปทั่วโลก ประเทศไทย ในฐานะที่ถูกจับตามองว่ามีขบวนการค้ามนุษย์ย่อมได้รบผลกระทบอย่างจังจนอาจถูก อียู และ สหรัฐฯ นำไปเป็นข้ออ้างกีดกันการค้า ซึ่งสิ่งที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้ย่อมปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีการค้ามนุษย์เกิดขึ้นจริง และยังเชื่อได้ว่าเหยื่อซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮีนจา ถูกกระทำทารุณโหดร้ายจนเสียชีวิตและปล่อยให้อดอยากเผชิญกับโรคร้ายจนเกิดการล้มตายทั้งนี้จากสุสานที่ทยอยขุดพบจำนวนมากย่อมเป็นเครื่องยืนยันอย่างดี
แต่ในความเลวร้ายนั้นน่าจะมาจากความจริงใจในการปราบปรามและแก้ไขขบวนการค้ามนุษย์ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ มีการสนธิกำลังจากทุกหน่วยงานอาทิ กองทัพเรือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบโดย พล.ต.อ.เอก อังสะนานนท์ รอง ผบ.ตร. กรมประมง กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพขับเคลื่อน สกัดกั้น ปราบปรามพร้อมกับให้การช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมกับชาวโรฮีนจา ไปพร้อมๆ กัน
วิกฤตอันเกิดจากชะตากรรมของชาวโรฮีนจา จนผู้คนทั้งโลกต้องเบือนหน้าหนีกลายเป็นโอกาสของรัฐบาลไทยที่จะชี้แจงและแก้ไขในระยะยาวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องราวเช่นนี้อีก
หลากหลายความเห็นมีการนำเสนออย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขบวนการค้ามนุษย์ซึ่งขณะนี้ตำรวจออกหมายจับไปแล้วทั้งสิ้น 61 คนมีทั้งพ่อค้า คหบดีและนักการเมืองท้องถิ่นซึ่งติดต่อเข้ามอบตัวและถูกจับกุมรวม 25 คน ส่วนข้าราชการที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่เป็นตำรวจท้องที่ และสังกัดตรวจคนเข้าเมือง มีจำนวนหลายสิบนายเช่นกัน นับว่าเป็นการขุดรากถอนโคนอย่างแท้จริงตั้งแต่เกิดขบวนการค้ามนุษย์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้มานานนับ 10 ปี
แต่มุมมองของคนในพื้นที่โดยเฉพาะบุคคลที่เคยรับรู้ มีข้อมูลการค้ามนุษย์กลับมองเห็นว่าหากจะแก้ถูกจุดจริงๆ เป็นเรื่องที่รัฐบาลไทย ต้องแสดงความกล้าหาญบอกให้โลกรู้ความจริงว่าขบวนการค้ามนุษย์มีปัญหาความเป็นไปอย่างไร เพราะที่จริงแล้วประเทศไทย เพียงแค่ทางผ่านแต่ด้วยในห้วงเวลาที่ผ่านมารัฐมิได้บริหารจัดการด้วยนโยบายเปิดเผยจึงกลายเป็นโอกาสของบุคคลต่างๆ ที่เข้ามามีส่วนร่วมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารบางนายบางสังกัด ฝ่ายปกครอง นักการเมืองท้องถิ่นตามที่ปรากฏเป็นข่าว
กลุ่มคนที่ว่ามองเห็นช่องหาผลประโยชน์ ปัญหาที่หมกใต้พรมจึงกลายเป็นโอกาสทำเงิน จากค้ามนุษย์ เช่น วัว - ควาย ขยับกลายเป็นอาชญากรข้ามชาติ มีการจับตัวเพื่อเรียกค่าไถ่ หรือทำร้ายจนเสียชีวิต
แนวคิดของคนในพื้นที่บอกให้รู้ว่า...เรื่องการอพยพของชาติพันธ์ “โรฮีนจา” มีมานานนับ 10 ปีแล้ว เป็นกลุ่มที่หนีภัยสงครามมาจากรัฐยะไข่ ในพม่า และด้วยการที่พม่าเอง ก็ไม่ยอมรับโรฮีนจาเป็นพลเมืองอยู่แล้ว เนื่องจากมีลักษณะทางกายภาพผิดแผกแตกต่างจากชาวพื้นเมืองพม่าทั่วไป อีกทั้งยังเป็นมุสลิมเมื่อตรวจพบทั้งขณะหนี หรือกลับจะดำเนินการอย่างรุนแรงถึงขั้นชีวิต เมื่อรวมถึงความอดอยาก ถูกคุกคาม ชาวโรฮีนจาจึงคิดอพยพไม่ต้องการอยู่ในพม่าอีกต่อไป
จุดหมายปลายทางของชาวโรฮีนจา ก็คือ ประเทศที่ถือศาสนาเดียวกัน แต่ที่ใก้ลที่สุดคือมาเลเซีย พวกเขาจึงต้องการไปสร้างชีวิตใหม่กันที่นั่น เริ่มต้นเส้นทางอพยพคือยะไข่ลงเรือมาขึ้นฝั่งที่สตูล และระนอง โรฮีนจาทั้งหมดยากจนไม่มีเงิน จึงมีแต่ตัว คนใดแข็งแรงจะได้ราคาดีส่วนพวกที่อ่อนแอสู้ไม่ไหวเกิดล้มป่วยระหว่างทางก็กลายเป็นศพถูกทิ้งทะเลหรือฝังในสุสานตามที่เห็นในข่าว
มีคำถามว่า ทำไม โรฮีนจา มีปัญหาโด่งดังในประเทศไทย แต่ที่มาเลเซีย กลับเงียบเชียบ อาจจะเพราะมาเลเซียเขาได้ประโยชน์จากการค้ามนุษย์ พวกนี้ราคาค่าหัวประมาณ 2 - 3 หมื่นบาท สุดแท้แต่ความแข็งแรงและทักษะการทำงาน เมื่อมีคนซื้อก็ต้องจ่ายกับนายหน้าคนไทยและพม่า ซึ่งร่วมกัน 3 ฝ่ายคือไทย พม่า ฝ่ายขาย และมาเลย์ เป็นฝ่ายซื้อ
เปรียบเป็นสินค้าในตลาดมืด
ลงเรือ เดินข้ามป่าข้ามเขาผ่านด่าน ผ่านเจ้าหน้าที่มาในสภาพใดก็ตาม “โรฮีนจา” ไม่มีปากมีเสียง เมื่อรอดชีวิตมาได้ทุกคน ก็คือ วัว - ควาย ในร่างมนุษย์ที่ถูกขายกันตามอำเภอใจ
ปัญหามาเกิดระยะหลังเหตุเพราะว่าระหว่างการเดินทางจากยะไข่ จะเข้ามาเลเซียเป็นที่ทราบกันว่าทางการไทยเริ่มเอาจริง และขบวนการค้ามนุษย์ก็พยายามหาเส้นทางหลบหนี เมื่อต้องเดินอยู่ในป่าเป็นเวลานานๆ โรคภัยไข้เจ็บจึงเล่นงาน ป่วยไข้ไม่มียา ไมมีหมอ อาหารก็เพียงข้าวเปล่าผสมเกลือกับน้ำเพื่อพอประทังชีวิต และเมื่อผนวกกับความเข้มงวดของมาเลเซีย ที่เพิ่มมาตรการมากขึ้นชาติพันธุ์เหลานี้จึงตกค้างในแดนไทย เป็นสินค้าที่มาถึงแล้วเข้าไม่ได้ แต่จำนวนสินค้านั่งเรือ เดินเท้าเข้ามาทุกวันจาก 10 เป็น 100 จาก 100 เป็น 1,000 เมื่อกองรวมกันอยู่สินค้าจึงล้นตลาดระบายไปไหนก็ไม่ได้ บรรดานายทุนจึงปล่อยตามยถากรรม ความหิวโหย เจ็บป่วย และความตาย จึงตามมาในที่สุด
ชะตากรรม “โรฮีนจา” ยังไม่จบเพียงเท่านั้นเมื่อพวกนายหน้าขายสินค้าไม่ได้เริ่มมีการผิดนัด ผิดสัญญา มีการทวงถามเรื่องค่าใช้จ่าย ขบวนการทวงหนี้จึงเกิดขึ้นในกลุ่มผู้ค้ามนุษย์โดยเอาชาวโรฮีนจาเป็นตัวประกัน และเป็นที่มาของการเรียกค่าไถ่ เช่น เมื่อไม่ได้ตามที่ขู่ไว้ก็จะทำร้าย ทรมานหรือฆ่าทิ้ง กระทั่งมีการเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษและเมื่อตำรวจท้องที่ออกดำเนินการจึงพบความจริงที่โลกตะลึง เป็นความโหดร้ายที่กระทำจากมนุษย์กับมนุษย์โดยไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย อันขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งความเมตตากรุณา
“นายหน้า” อมนุษย์ผู้อยู่เบื้องหลังการค้าโรฮีนจา ก็คือ คนพม่าที่นำพามาส่งให้นายหน้าชาวไทยที่ฝั่งไทย จากนั้นนายหน้าชาวไทยจะนำพาขึ้นเรือมาส่งยังระนอง - สตูล เมื่อขึ้นฝั่งเรียบร้อยแล้วจะทยอยเคลื่อนย้ายโดยรถยนต์ที่มีการปกปิด อำพรางเป็นอย่างดีเข้ามายังชายแดนไทย - มาเลย์ และพักไว้ในเขตพื้นที่ป่าเขา สวยยางพาราที่ห่างไกลถนนที่ชาวบ้านเข้าไม่ถึง จากนั้นนายหน้าชาวมาเลย์ จะเป็นผู้นำพาต่อเข้ามาเลเซีย พร้อมจ่ายค่าหัวตอบแทนนายหน้าชาวไทยตามที่ตกลงกันไว้
เมื่อความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผยขึ้นมีคำถามว่าชาวโรฮีนจา จำนวนมากที่อพยพเข้าไปอาศัย หรือเป็นทาสแรงงานในมาเลเซียปัจจุบันมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ทางการมาเลย์คิดหรือทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น นั่นคือทางการไทยต้องกล้าพูดคุยกับเขา
เพราะประเทศไทยต้องเผชิญกับทุกปัญหาโดยเฉพาะสายตาชาวโลกทั้งที่บ้านเราคือทางผ่านแต่บังเอิญมีกลุ่มคนชั่ว และเจ้าหน้าที่เลวบางคนไปก่อเรื่องขึ้น ซึ่งบัดนี้ทางการไทยได้เอาจริงเอาจังต่อขบวนการค้ามนุษย์แล้ว นอกจากการพูดคุยกับประเทศมาเลเซีย ประเทศพม่า อันเป็นต้นทางของการอพยพเหล่าชาติพันธ์โรฮีนจา เราก็ต้องเข้าไปคุยเพื่อหาข้อยุติด้วย
อย่ายึดติดกับวิถีอาเซียน หรือความเกรงอกเกรงใจกันจนเราต้องแบกรับกับปัญหาที่ไม่ได้ก่อ
มาตรการปกติที่กฎหมายไทยมีอยู่แก้ปัญหานี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว รวมทั้งการตั้งค่ายอพยพเพื่อเตรียมส่งชาวโรฮีนจาไปยังประเทศที่สามยังมีข้อถกเถียงอีกมากมาย ไทยจะกลายเป็นม้าอารี ไทยจะรับภาระหรือกระทั่งฝ่ายความมั่นคงทหารยังแสดงความเป็นห่วงว่ามาตรการใดๆ ที่จะแก้ปัญหาต้องลดความจูงใจผู้อพยพ นั่นหมายความว่าการสร้างที่พักพิงชั่วคราวหรือศูนย์อพยพ ก็คือแรงจูงใจต่อชาวโรฮีนจาอีก 8 แสนกว่าคนในพม่าที่ต้องการหนีตายไปยังประเทศที่สาม
ไทยจะรับมืออย่างไร
การแก้ไขขบวนการค้ามนุษย์ที่รัฐบาลไทย กำลังดำเนินการอยู่แม้จะถูกจุดแต่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งหมด เรื่องนี้จึงควรระดมมันสมองและเพิ่มบทบาทหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ หรือกลุ่มสมาชิก ชมรม สมาคมมุสลิม ให้ขบคิด ขับเคลื่อนแสดงความจริงใจต่อชะตากรรมเพื่อนมนุษย์เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เพราะความเลวร้ายที่เกิดขึ้นมันตกลงถึงก้นเหว ถึงจุดเลวที่สุด ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว